สรุปผลการประชุมวาระกลุ่มกิจกรรมองค์กร (Institutional Section)
ในการประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ ๓๔๐ (การประชุมทางไกลผ่านจอภาพ)
ระหว่างวันที่ ๒-๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
๑. กลยุทธและนโยบายของ ILO ด้านผู้ทุพลภาพ
ที่มา
สหประชาชาติได้เริ่มดำเนินกลยุทธการผนวกรวมผู้ทุพพลภาพของสหประชาชาติ (United Nations Disability Inclusion Strategy: UNDIS) ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อรวมผู้ทุพพลภาพให้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอย่างแท้จริง โดยหนึ่งในตัวชี้วัดของกลยุทธนี้ คือ องค์กรต่าง ๆ ภายใต้สหประชาชาติกำหนดนโยบายและ กลยุทธการผนวกรวมผู้ทุพพลภาพเพื่อนำมาปฏิบัติภายในองค์กร
ข้อเสนอเพื่อพิจารณา
สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศจึงได้จัดทำร่างนโยบายการผนวกรวมผู้ทุพพลภาพของ ILO ขึ้น เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า ผู้ทุพพลภาพ ซึ่งหมายรวมถึง ผู้ทุพพลภาพที่เป็นเจ้าหน้าที่ ILO สมาชิกทั้งสามฝ่ายของ ILO และผู้ได้รับผลประโยชน์จากการทำงานของ ILO จะมีส่วนร่วมกับ ILO อย่างเต็มที่และเท่าเทียมเช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ทุพพลภาพ ซึ่งร่างนโยบายดังกล่าวมีหลักการ ดังนี้
– การปรึกษาหารือและการเจรจาทางสังคม: จะมีการปรึกษาหารือกับสหภาพพนักงาน ILO ในการปฏิบัติตามนโยบายนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อสภาพการทำงานของพนักงาน ILO
– การจ้างงานและการไม่เลือกปฏิบัติ: จะคัดเลือก จ้างงาน และส่งเสริมความก้าวหน้าในอาชีพ ของพนักงานที่ทุพพลภาพ รวมถึง จัดสถานที่ทำงานให้เหมาะสม และจะป้องกันการเลือกปฏิบัติ การล่วงละเมิด และความรุนแรง ด้วยเหตุแห่งความทุพพลภาพในทุกรูปแบบ
– การเข้าถึงได้ : จะจัดทำช่องทางให้ผู้ทุพพลภาพสามารถเข้าถึงอาคารสำนักงาน ILO ได้ทุกส่วน รวมถึง การใช้ระบบดิจิทัลต่าง ๆ ที่ไม่มีอุปสรรคสำหรับผู้ทุพพลภาพ
– การไม่ถูกละเลยไปจากกระแสหลัก : จะมีการผนวกร่วมผู้ทุพพลภาพเข้าไว้ในการปฏิบัติงาน แผนงาน และโครงการของ ILO
– การสื่อสารและการพัฒนาขีดความสามารถ: จะสร้างขีดความสามารถให้แก่พนักงานทุกระดับที่เป็นผู้ทุพพลภาพ และจะมีการสื่อสารอย่างทั่วถึงกับพนักงานที่เป็นผู้ทุพพลภาพ
– การติดตามและประเมินผล: จะมีการรวบรวมข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับการปฏิบัติตามนโยบายนี้ และจะติดตามและประเมินผลการปฏิบัติอยู่เป็นระยะ
– ทรัพยากรทางการเงินและทรัพยากรมนุษย์: จะจัดหาทรัพยากรทางการเงินและทรัพยากรมนุษย์ให้เพียงพอต่อการปฏิบัติตามนโยบายนี้
– การทบทวนนโยบาย: จะมีการทบทวนนโยบายนี้เป็นระยะ และจะปรับปรุงแก้ไขนโยบายให้สอดคล้องตามความจำเป็น
มติที่ประชุม
คณะประศาสน์การ
(ก) มอบผู้อำนวยการใหญ่ ILO จัดทำนโยบาย ILO ด้านการผนวกรวมผู้ทุพลภาพตามที่เสนอให้เสร็จสมบูรณ์และนำไปปฏิบัติ โดยคำนึงถึงแนวทางต่าง ๆ ที่ได้จากการอภิปรายของที่ประชุม
(ข) ให้สำนักงานงานแรงงานระหว่างประเทศนำกลยุทธระยะหลายปีบรรจุไว้ในนโยบาย ILO ด้านการผนวกรวมผู้ทุพพลภาพ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๖ ให้สอดคล้องกับกลยุทธการผนวกรวมผู้ทุพลภาพของสหประชาชาติ
(ค) ให้สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศดำเนินการติดตามตรวจสอบการปฏิบัติ โดยให้สอดคล้องกับรอบการรายงานด้านกรอบงานความรับผิดชอบขององค์กร ซึ่งจัดทำโดยโครงการ United Nations Disability Inclusion Strategy และรอบการรายงาน และให้จัดทำรายงานความคืบหน้าที่มีและประเด็นที่ต้องได้รับการปรับปรุง รวมถึงจัดทำสรุปรายงานการปฏิบัติตามกลยุทธยุทธการผนวกรวมผู้ทุพลภาพของสหประชาชาติ ที่นำเสนอต่อสหประชาชาติ ให้ที่ประชุม GB ได้รับทราบทุก ๒ ปี โดยเริ่มที่การประชุม GB สมัยที่ ๓๔๖
(ง) มอบผู้อำนวยการใหญ่ ILO ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมการผนวกรวมผู้ทุพลภาพเข้าไว้ในการปฏิบัติตามแผนกลยุทธ ILO และแผนงานและงบประมาณ ฉบับปัจจุบันและที่จะมีขึ้นในอนาคต และจัดหาทรัพยากรนอกระบบงบประมาณเพื่อการปฏิบัติตามนโยบายนี้
๒. รายงานความคืบหน้าของรัฐบาลกัวเตมาลาเรื่อง การติดตามผลการปฏิบัติตามมติ GB สมัยที่ ๓๓๔ เพื่อส่งเสริมข้อตกลงไตรภาคีแห่งชาติ ณ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้เป็นไปตาม road map
ที่มา
ในการประชุม ILC สมัยที่ ๑๐๑ เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕ องค์กรผู้แทนฝ่ายลูกจ้างได้ยื่น คำร้องต่อ ILO ภายใต้มาตรา ๒๖ แห่งรัฐธรรมนูญ ILO กล่าวหาว่า รัฐบาลกัวเตมาลาไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ให้สัตยาบันแล้วฉบับที่ ๘๗ ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว ค.ศ. ๑๙๔๗ ด้วยเหตุมีนักสหภาพแรงงานถูกฆาตกรรม ๕๘ ราย และเสียชีวิตในเหตุไม่สงบภายในประเทศจำนวนมากโดยไม่มีความคืบหน้าในการเอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ ต่อมาที่ประชุม GB สมัยที่ ๓๓๔ (ตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๖๑) ได้มีมติให้ยุติการติดตามผลตามคำร้องเรียน เนื่องจาก รัฐบาลกัวเตมาลามีความคืบหน้าด้านการติดตามและดำเนินคดีผู้กระทำความผิด มีการพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้อง มีการจัดทำข้อตกลงไตรภาคีแห่งชาติ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐ มีการกำหนด road map เพื่อให้บรรลุตามข้อตกลงดังกล่าว มีการจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคีแห่งชาติด้านการแรงงานสัมพันธ์และเสรีภาพในการสมาคม ตลอดจนมีคณะอนุกรรมการ ไตรภาคีด้านต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึง การดำเนินงานตาม road map ที่ตั้งไว้ โดย GB ยังมีมติให้รัฐบาลกัวเตมาลารายงานผลการปฏิบัติตาม road map เพื่อให้บรรลุตามข้อตกลงไตรภาคีแห่งชาติต่อที่ประชุม GB ที่จัดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๒ และ พ.ศ. ๒๕๖๓
ข้อรายงาน
รายงานของคณะกรรมการไตรภาคีแห่งชาติด้านการแรงงานสัมพันธ์และเสรีภาพในการสมาคมของกัวเตมาลา นำเสนอถึงข้อมูลการปฏิบัติตามเป้าหมายใน road map ดังนี้
เป้าหมายที่ ๑ มีจำนวนการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดเพิ่มขึ้น และ เป้าหมายที่ ๒ มีการพิจารณาคดีและตัดสินโทษโดยไม่ล่าช้า โดยได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาจำนวน ๒๔ ราย ซึ่งได้รับการตัดสินว่ากระทำความผิด ๑๙ ราย และได้รับการตัดสินให้พ้นโทษ ๕ ร้าย มีสองคดีอยู่ระหว่างการสอบสวน มีผู้ต้องหาถูกออกหมายจับจำนวน ๗ ราย ยกฟ้อง ๖ ราย ส่วนคดีที่เหลือมีความล่าช้าเนื่องจากการระบาดของโควิด-๑๙ นอกจากนั้น สำนักงานอัยการยังได้ตั้งแผนกคดีอาญาเกี่ยวกับนักสหภาพแรงงานขึ้น เพื่อให้การดำเนินคดีมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
เป้าหมายที่ ๓ เสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่กลไกการรับมือ การคุ้มครอง และการป้องกัน การข่มขู่สหภาพแรงงาน โดยการให้การคุ้มกันแก่สมาชิกและนักสหภาพแรงงานตามที่ร้องขอ และเปิดโทรศัพท์สายด่วนเพื่อรับเรื่องร้องเรียนในกรณีนี้เป็นการเฉพาะ
เป้าหมายที่ ๔ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้เสียหายและสหภาพแรงงานในขั้นตอนการสอบข้อเท็จจริงและการดำเนินดคี โดยการจัดทำความตกลงการมีส่วนร่วมระหว่างคณะกรรมการไตรภาคีแห่งชาติและอัยการสูงสุด เพื่อให้ผู้แทนของคณะกรรมการไตรภาคีฯ เข้ามีส่วนร่วมในขั้นตอนการสอบข้อเท็จจริง และมีการประชุมหารือระหว่างสำนักงานอัยการและคณะกรรมการสหภาพแรงงาน เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูล
เป้าหมายที่ ๕ ดำเนินมาตรการเร่งด่วน โดยปรึกษาหารือไตรภาคี เกี่ยวกับการแก้ไขประมวลกฎหมายแรงงานและกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยการจัดทำโครงการความร่วมมือทางวิชาการ เรื่อง “การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่คณะกรรมการไตรภาคีแห่งชาติด้านการแรงงานสัมพันธ์และเสรีภาพในการสมาคม เพื่อการปฏิบัติตามมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ” เพื่อสนับสนุนการปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมของ ILO
เป้าหมายที่ ๖ จัดหาเครื่องมือเพื่อทำให้การตรวจแรงงานมีประสิทธิภาพ โดยการออกกฎหมายให้หน่วยตรวจแรงงานมีอำนาจกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนกฎหมายแรงงาน
เป้าหมายที่ ๗ เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับหลักนิติธรรม เพื่อให้มีการปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลแรงงาน โดยการเร่งรัดการพิจารณาคำฟ้องเพื่อตัดสิน และติดตามการปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลแรงงาน และติดตามกรณีการอุทธรณ์คำตัดสินของศาลแรงงานต่อศาลฎีกา
เป้าหมายที่ ๘ ไม่ปฏิเสธการขอจดทะเบียนจัดตั้งสหภาพแรงงานโดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งรัฐบาลปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนจัดตั้งสหภาพแรงงานเฉพาะกรณีที่มีคุณสมบัติไม่ตรงตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น
เป้าหมายที่ ๙ ส่งเสริมให้มีการจัดทำข้อตกลงสภาพการจ้างจากผลของการเจรจาต่อรองร่วม ซึ่งในช่วงเดือนสิงหาคม ๒๕๖๒ – ๒๕๖๓ มีการยื่นขอจดทะเบียนข้อตกลงสภาพการจ้างจากผลของการเจรจาต่อรองร่วมจำนวน ๒๑ ฉบับ
ทั้งนี้ สหพันธ์แรงงานแห่งกัวเตมาลามีความเห็นประกอบรายงานฉบับนี้ว่า การปฏิบัติของรัฐบาลยังไม่ตรงตามเป้าหมายของ road map และเรียกร้องให้ ILO ยังคงติดตามกรณีของกัวเตมาลาต่อไป
มติที่ประชุม
คณะประศาสน์การ
(ก) รับทราบรายงานของคณะกรรมการไตรภาคีแห่งชาติที่รัฐบาลกัวเตมาลาจัดส่งมา และเอกสารประกอบจากสหพันธ์แรงงานแห่งกัวเตมาลา
(ข) ยินดีที่มีการจัดทำโครงการความร่วมมือทางวิชาการของ ILO เรื่อง “การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่คณะกรรมการไตรภาคีแห่งชาติด้านการแรงงานสัมพันธ์และเสรีภาพในการสมาคม เพื่อการปฏิบัติตามมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ” และขอให้มีการจัดการทุนสำหรับการดำเนินโครงการ
(ค) ให้สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศจัดทำรายงานประจำปีเรื่องการดำเนินโครงการความร่วมมือข้างต้น เสนอต่อที่ประชุม GB เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ตลอด ๓ ปีในช่วงดำเนินโครงการ
๓. รายงานความก้าวหน้าเรื่อง ความร่วมมือทางวิชาการระหว่างรัฐบาลกาตาร์และ ILO
ที่มา
รัฐบาลกาตาร์ถูกร้องเรียนในการประชุม ILC สมัยที่ ๑๐๓ พ.ศ. ๒๕๕๗ ว่าไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ให้สัตยาบันแล้ว ๒ ฉบับ คือ (ก) อนุสัญญาฉบับที่ ๒๙ เนื่องจากระบบการจ้างงานของกาตาร์เอื้อให้เกิดการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน การใช้แรงงานบังคับ และสัญญาจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทั้งยังมีแรงงานจำนวนมากทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างและ (ข) อนุสัญญาฉบับที่ ๘๑ เนื่องจากกาตาร์ขาดการตรวจแรงงานเพื่อคุ้มครองแรงงานต่างด้าวที่เป็นระบบอย่างยุติธรรมและเพียงพอ รวมถึงการที่แรงงานต่างด้าวไม่สามารถเข้าถึงกลไกการร้องเรียนได้เมื่อถูกละเมิดสิทธิ ต่อมาที่ประชุม GB สมัยที่ ๓๓๑ (ตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๖๐) มีมติสนับสนุนแผนงานความร่วมมือทางวิชาการระหว่างรัฐบาลกาตาร์และ ILO เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า รัฐบาลกาตาร์จะปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ให้สัตยาบันแล้วและเคารพต่อหลักการและเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการทำงาน โครงการมีระยะเวลาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๓ สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้นำเสนอรายงานฉบับแรกต่อ GB แล้วในการประชุมสมัยที่ ๓๓๔ (ตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๖๑)
ข้อรายงาน
สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้จัดทำเอกสารเพื่อรายงานความคืบหน้าที่เกิดขึ้นในช่วง ๓ ปี ที่ผ่านมา ประเด็นเสาหลัก ๕ ประการของความร่วมมือทางวิชาการระหว่างรัฐบาลกาตาร์และ ILO ดังนี้
๑. การปรับปรุงการจ่ายค่าจ้าง: กาตาร์รับรอง Law no. 17 of 2020 ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกด้านการคุ้มครอง ค่าจ้างขั้นต่ำโดยไม่เลือกปฏิบัติของกาตาร์ โดยจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมีนาคม ๒๕๖๔ กฎหมายใหม่ฉบับนี้ยังกำหนดให้มีคณะกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำทำหน้าที่ติดตามผลกระทบจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กำหนด ทั้งนี้ ในปีที่แล้วกาตาร์ได้จัดทำระบบคุ้มครองค่าจ้างขึ้นภายใต้การกำกับดูแลของ Ministry of Administrative Development, Labour and Social Affairs (MADLSA) และมีการจัดตั้งกองทุนประกันและส่งเสริมคนงาน เพื่อสำรองจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายให้แก่คนงาน เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๖๓
๒. การตรวจแรงงาน และระบบอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน: กาตาร์มีการปฏิบัติที่มีความคืบหน้าด้านการปฏิบัติตามแผนชาติด้านภาวะความเครียดจากความร้อน (heat stress) การกำหนดนโยบายแห่งชาติด้านความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยในการทำงาน การปรึกษาหารือเรื่อง ผลการศึกษาเปรียบเทียบอนุสัญญาฉบับที่ ๑๕๕ การพัฒนารูปแบบการฝึกอบรมสำหรับพนักงานตรวจแรงงาน การเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการวิเคราะห์ข้อมูลให้กับกรมการตรวจแรงงาน และการดำเนินกิจกรรมให้ความรู้และกระตุ้นจิตสำนึกด้านความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยในการทำงานให้กับนายจ้างและลูกจ้าง
๓. ระบบการทำสัญญาจ้างงานเพื่อนำมาใช้แทนที่ระบบ kafala* การรับสมัครงานและเงื่อนไขการจ้างงาน:
– กระทรวงมหาดไทยของกาตาร์ได้ออกกฎกระทรวงเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๓ เพื่อยกเลิกข้อกำหนดให้คนงานต่างชาติที่ยังไม่หมดสัญญาจ้างต้องได้รับอนุญาตก่อนจึงจะออกนอกประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็นการออกนอกประเทศแบบชั่วคราวหรือถาวร แต่ยังมีข้อยกเว้นให้นายจ้างสามารถยื่นเรื่องต่อ MADLSA เพื่อขอใช้ข้อกำหนดเดิมกับลูกจ้างของตน ด้วยเหตุผลความจำเป็นเนื่องจากลักษณะของงาน ในจำนวนไม่เกินร้อยละ ๕ ของลูกจ้างทั้งหมด จากข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม ๒๕๖๓ มีนายจ้างขออนุญาตใช้ข้อกำหนดเดิมกับลูกจ้างจำนวนทั้งสิ้น ๔๒,๑๗๑ คน
– รัฐบาลได้ยกเลิกกฎหมายห้ามลูกจ้างเปลี่ยนตัวนายจ้าง เว้นแต่คนงานทำงานบ้าน คนงานทางทะเล และคนงานในภาคการเกษตร ที่ต้องผ่านช่วงทดลองงานก่อนจึงจะเปลี่ยนตัวนายจ้างได้ ลูกจ้างที่ประสงค์จะเปลี่ยนตัวนายจ้างต้องแจ้งให้นายจ้างปัจจุบันทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือ
– กาตาร์ได้ปรึกษาหารือกับคณะกรรมาธิการยุโรปในเรื่อง การออกแบบและจัดทำ job-matching platform
– มีการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับคนงานทำงานบ้าน เช่น การจัดงาน International Domestic Workers’ Day ขึ้นในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๓ การแจกจ่ายแผ่นพับ และเผยแพร่สื่อภาพเคลื่อนไหวเรื่อง สิทธิและหน้าที่ของคนงานทำงานบ้าน
– มีการประเมินผลจากการจัดทำโครงการนำร่องด้านการคัดเลือกคนงานอย่างเป็นธรรมในภาคก่อสร้าง ร่วมกับบังคลาเทศ และเผยแพร่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ และมีการลงนามความเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐ บริษัท Hilton International และ ILO เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในกระบวนการคัดเลือกและจ้างงานคนงานต่างด้าว โดยจะนำผลสำเร็จจากการลงนามครั้งนี้ไปขยายผลต่อไป ทั้งยังมีการอบรมเรื่องการแจ้งสิทธิและหน้าที่ของคนงานต่างด้าวให้กับศูนย์ออกวีซ่ากาตาร์ ๑๔ แห่งในประเทศต้นทางของแรงงานต่างด้าว
– มีการดำเนินโครงการปรับปรุงสภาพการทำงานและความเป็นอยู่ของคนงาน ในกิจการโรงแรมมากกว่า ๔๐ แห่ง
(* ระบบ kafala หรือระบบอุปถัมภ์แรงงาน เป็นระบบที่รัฐบาลกาตาร์ใช้กับแรงงานต่างด้าวที่ไร้ทักษะ ภายใต้ระบบนี้ แรงงานต่างด้าวต้องมีชาวกาตาร์รับเป็นผู้อุปถัมภ์ ซึ่งส่วนใหญ่คือ นายจ้าง เพื่อดำเนินการขอใบอนุญาตให้อยู่อาศัย (residence permit) และใบอนุญาตทำงาน (work permit) ให้กับตน โดยสัญญาจ้างงานมีอายุสูงสุดไม่เกิน ๕ ปี ในระหว่างที่สัญญาจ้างยังไม่หมดอายุ นั้น การเดินทางออกนอกประเทศ การเปลี่ยนนายจ้าง และการลาออกจากงาน ต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้อุปถัมภ์ ในขณะเดียวกันผู้อุปถัมภ์หรือนายจ้างสามารถเลิกจ้าง หรือส่งลูกจ้างไปทำงานกับนายจ้างรายใหม่ได้ โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง)
๔. แรงงานบังคับ: มีการจัดอบรมเรื่อง แรงงานบังคับและการค้ามนุษย์ ให้แก่พนักงานตรวจแรงงานทุกคน และได้ทำการปรับปรุงหลักสูตรการอบรมดังกล่าวให้เหมาะสมกับเจ้าหน้าที่ของกรมการแรงงานสัมพันธ์ นอกจากนี้ คณะกรรมการต่อต้านการค้ามนุษย์แห่งชาติยังร่วมกับ ILO จัดทำคู่มือเกี่ยวกับแรงงานบังคับและการค้ามนุษย์ แจกจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้อง ขณะนี้ กาตาร์อยู่ระหว่างการศึกษาเปรียบเทียบพิธีสาร ค.ศ. ๒๐๑๔ ประกอบอนุสัญญาฉบับที่ ๒๙ ว่าด้วยแรงงานบังคับ ค.ศ. ๑๙๓๐ เพื่อพิจารณาถึง ความเป็นไปได้ในการให้สัตยาบัน
๕. การส่งเสริมเสียงจากคนงาน: ILO ยังคงอำนวยความสะดวกในการจัดส่งคำร้องเรียนของลูกจ้างไปยัง MADLSA ตามที่ได้ทำความตกลงกันไว้ โดยที่ผ่านมา ILO ได้ส่งคำร้องเรียนไปยัง MADLSA จำนวน ๙๑ คำร้อง เกี่ยวข้องกับลูกจ้างจำนวน ๑,๘๙๖ คน โดย MADLSA ได้ดำเนินการตามคำร้องเสร็จสิ้นแล้วจำนวน ๕๖ คำร้อง เกี่ยวข้องลูกจ้างจำนวน ๑,๗๔๕ คน กาตาร์อยู่ระหว่างการยกร่างระเบียบและวิธีปฏิบัติด้านการเจรจาต่อรองร่วมและการทำข้อตกลงร่วม ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๒ – สิงหาคม ๒๕๖๓ ได้มีการเลือกตั้งผู้แทนคนงานจำนวนเกือบ ๑๐๗ คน เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้แทนของคนงานจำนวน ๑๗,๐๐๐ คน อันเป็นการเลือกตั้งภายใต้กฎหมายว่าด้วย เงื่อนไขและวิธีปฏิบัติในการเลือกตั้งผู้แทนคนงาน ซึ่งรับรองเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๒ นอกจากนั้น ยังมีการส่งเสริมการเจรจาทางสังคมในระดับกลุ่มกิจการต่าง ๆ และระดับประเทศ ทั้งยัง มีการดำเนินมาตรการเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบการป้องกันและแก้ไขปัญหาข้อพิพาทในสถานที่ทำงาน
การสนับสนุนในประเด็นเกี่ยวกับโควิด-๑๙
กาตาร์ได้ดำเนินการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการจัดการกับวิกฤตจากโควิด-๑๙ เช่น การกำหนดนโยบายต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นสถานการณ์การระบาดใหญ่ทั่วโลกของโควิด-๑๙ รวมถึง (ก) การจัดทำคู่มือด้านบทบาทและความสำคัญของการเจรจาทางสังคม และของการมีคณะกรรมการร่วมเพื่อจัดการกับวิกฤต (ข) การจัดให้มีการทำงานทางไกลชั่วคราว (ค) การจัดหาที่พักและอาหารในบริเวณสถานที่ทำงาน การเผยแพร่เอกสารด้านความปลอดภัยซึ่งจัดทำเป็น ๑๐ ภาษา การช่วยเหลือสถานประกอบการในการจัดทำโครงการกลับมาทำงานอย่างปลอดภัยและมีสุขภาพอนามัยที่ดี การประชุมเชิงปฏิบัติการทางไกลออนไลน์ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการกำหนดมาตรการระยะสั้นและระยะยาวเพื่อช่วยเหลือ SMEs และคุ้มครองการมีงานทำ
มติที่ประชุม
คณะประศาสน์การรับทราบการรายงาน
๔. รายงานความคืบหน้าการติดตามผลข้อมติเกี่ยวกับมาตรการที่เหลือในเมียนมา ซึ่งรับรองโดยที่ประชุมใหญ่ ประจำปีขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมัยที่ ๑๐๒ พ.ศ. ๒๕๕๖
ที่มา
เมียนมาถูกร้องเรียนโดยผู้แทนกลุ่มลูกจ้างว่าละเมิดอนุสัญญาที่ให้สัตยาบันแล้วฉบับที่ ๒๙ ว่าด้วยแรงงานบังคับ ค.ศ. ๑๙๓๐ เนื่องจากรัฐบาลละเลยให้เกิดการบังคับใช้แรงงานนักโทษและมีการเกณฑ์เด็กเป็นทหาร ซึ่งที่ประชุม GB สมัยที่ ๒๖๘ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ มีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการไต่สวน (Commission of Inquiry: COI) เพื่อติดตามตรวจสอบและให้ข้อแนะนำในการแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานบังคับในเมียนมา และที่ประชุมใหญ่ประจำปีขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Conference: ILC) สมัยที่ ๑๐๒ พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้รับรองข้อมติเกี่ยวกับมาตรการที่เหลือในเมียนมา เพื่อติดตามว่า มีประเด็นใดที่รัฐบาลเมียนมาได้ปฏิบัติจนมีความคืบหน้าและไม่จำเป็นต้องดำเนินมาตรการตามข้อแนะนำของ COI แล้ว ซึ่งที่ประชุม GB สมัยที่ ๓๓๗ (ตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๖๒) ได้รับทราบรายงานความคืบหน้าการติดตามผลฯ และมีมติ ดังนี้
(ก) รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินการของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผนปฏิบัติการด้านแรงงานบังคับ การออกกฎหมายว่าด้วยสิทธิเด็ก การเสนอให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับที่ ๑๓๘ และสนับสนุนให้รัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการดำเนินความร่วมมือกับ ILO และภาคส่วนทางสังคม เพื่อปฏิบัติตามแผนระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่า (Decent Work Country Programme: DWCP) อย่างเต็มที่
(ข) ให้รัฐบาลปรึกษาหารือกับภาคส่วนทางสังคมผ่านทางการประชุมเจรจาไตรภาคีในระดับประเทศ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับกลไกการรับคำร้องเรียนของประเทศ โดยให้รวมถึงมาตรการการคุ้มครองผู้เสียหาย การเข้าจัดการและการขจัดแรงงานบังคับ
(ค) ให้รัฐบาลยังคงดำเนินขั้นตอนปฏิบัติเพื่อให้ ILO สามารถรับคำร้องเรียนได้ และเพิ่มความร่วมมือกับ ILO ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาตามคำร้องเรียน จนกว่าจะมีการใช้กลไกการรับคำร้องเรียนของประเทศอย่างเหมาะสม
(ง) ให้ผู้อำนวยการใหญ่นำประเด็นความคืบหน้าในการจัดทำกลไกการรับคำร้องเรียนของประเทศตาม DWCP บรรจุเข้าไว้ในรายงานฉบับต่อไปที่จะนำเสนอต่อคณะประศาสน์การ
(จ) รับทราบการดำเนินงานเพื่อปฏิรูปกฎหมายแรงงาน และขอให้พยายามต่อไปเพื่อให้มั่นใจได้ว่ามีการเจรจาทางสังคมในรูปแบบไตรภาคีในขั้นตอนการปฏิรูปกฎหมาย และมีการคำนึงถึงความเห็นขององค์กรผู้แทนของนายจ้างและของคนงานอย่างเต็มที่
(ฉ) มีความกังวลเรื่อง การตั้งข้อหาตามกฎหมายการชุมนุมและการเดินขบวนโดยสันติ กับนักกิจกรรมสหภาพแรงงานทั้ง ๘ คน และเรื่อง การใช้กฎหมายดังกล่าวโดยเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อเป็นหนทางในการปฏิเสธการใช้สิทธิด้านเสรีภาพในการสมาคมโดยสันติ
(ช) คาดหวังว่า รัฐบาลจะสามารถรายงานผลในเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ถึงการดำเนินงานตามที่คณะประศาสน์การ ได้แสดงความกังวลไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเกี่ยวกับเสรีภาพในการสมาคม การขจัดแรงงานบังคับ และจัดทำกลไกการรับคำร้องเรียนภายในประเทศให้มีประสิทธิภาพ
ข้อเสนอเพื่อพิจารณา
รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานต่าง ๆ ของเมียนมามีดังนี้
การปฏิบัติตาม DWCP และการรับมือโควิด-๑๙
รัฐบาลได้นำ DWCP มาปฏิบัติโดยมีการจัดลำดับความสำคัญของกลุ่มกิจกรรมตาม ดังนี้
ลำดับที่ ๑ คนทุกคน รวมถึง ผู้พิการ สามารถเข้าถึงการมีงานทำ งานที่มีคุณค่า และโอกาสในการเป็นเจ้าของกิจการที่มีความยั่งยืน โดยมีผลลัพธ์ที่สำคัญ เช่น การจัดทำโครงการต่าง ๆ เกี่ยวกับ SMEs ทำให้สามารถสร้างงานได้กว่า ๑๖,๐๐๐ ตำแหน่ง และช่วยเหลือ SMEs ได้กว่า ๕,๕๐๐ แห่ง การกำหนดแผนชาติด้านการจัดการการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศ ระยะ ๕ ปี ฉบับที่ ๒
ลำดับที่ ๒ การปฏิบัติตามหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับการบริหารจัดการตลาดแรงงาน โดยมีผลลัพธ์ที่สำคัญ เช่น การออกกฎหมายสิทธิเด็ก พ.ศ. ๒๕๖๒ การให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับที่ ๑๓๘ เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๖๓
ลำดับที่ ๓ การขยายขอบเขตความคุ้มครองทางสังคมให้ครอบคลุมถ้วนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนงานในกลุ่มเปราะบาง โดยมีผลลัพธ์ที่สำคัญ เช่น การใช้ระบบข้อมูลด้านการประกันสังคมแบบใหม่ การนำเงินจากกองทุนประกันสังคมมาจัดทำเป็นกองทุนเงินกู้สำหรับสถานประกอบที่ประสบปัญหาจากวิกฤตโควิด-๑๙ การยกร่างกฎหมายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
การจัดทำกลไกการรับคำร้องเรียนแห่งชาติด้านแรงงานบังคับ
เมียนมาได้จัดทำกลไกการรับคำร้องเรียนแห่งชาติด้านแรงงานบังคับขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยได้รับความช่วยเหลือทางวิชาการในด้านต่าง ๆ จาก ILO ขณะนี้ เมียนมาอยู่ระหว่างดำเนินการสร้างระบบ ต่าง ๆ ให้รองรับกลไกนี้ เช่น การพัฒนา application รับคำร้องเรียนทางโทรศัพท์เคลื่อนที่
ความคืบหน้าในการขจัดแรงงานบังคับ
ในปี ๒๕๖๒ ILO ได้รับคำร้องเรียนเพิ่มเติมเรื่องการใช้แรงงานบังคับจำนวน ๑๔๕ คำร้อง ซึ่งลดลงจากปี ๒๕๖๑ ซึ่งมี ๒๔๐ คำร้อง โดยตั้งแต่ต้นปี ๒๕๖๓ จนถึงเดือนที่จัดทำรายงาน ILO ได้รับคำร้องเรียนจำนวน ๕๔ คำร้อง รายงานของเลขาธิการสหประชาชาติเรื่อง เด็กและความขัดแย้งด้วยอาวุธ ได้ตัดกองทัพพม่าออกจากบัญชีรายชื่อ หน่วยงานที่มีการเกณฑ์เด็กเพื่อเป็นทหาร
การปฏิรูปกฎหมายและเสรีภาพในการสมาคม
เมียนมาอยู่ระหว่างการยกร่างกฎหมายการจัดตั้งองค์กรของนายจ้างและของลูกจ้าง เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาฉบับที่ ๘๗ โดยกำหนดแผนงานว่าจะสามารถบังคับใช้ได้ในปี ๒๕๖๓ แต่เนื่องจากวิกฤตโควิด-๑๙ ทำให้การยกร่างล่าช้าไม่เป็นไปตามที่กำหนด โดย ILO ขอให้รัฐบาลทำการปรึกษาหารือกับผู้แทนนายจ้างและลูกจ้างด้วย
มติที่ประชุม
คณะประศาสน์การ
(ก) รับทราบว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๖๒ รัฐบาลได้ดำเนินการร่วมกับหุ้นส่วนทางสังคมจนมีความคืบหน้าบางประการด้านการปฏิบัติตาม DWCP และขอให้รัฐบาลยังคงให้ความร่วมมือกับ ILO และหุ้นส่วนทางสังคมในการสร้างกลไกการรับคำร้องเรียนแห่งชาติให้มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้
(ข) ขอให้มีความมุ่งมั่นมากขึ้นเพื่อให้มั่นใจได้ว่า มีการคำนึงถึงความเห็นของหุ้นส่วนทางสังคมอย่างเต็มที่ในขั้นตอนการปฏิรูปกฎหมายและแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับอนุสัญญาฉบับที่ ๘๗ ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว ค.ศ. ๑๙๔๘ และให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการคุ้มครองสิทธิแรงงานในช่วงการระบาดใหญ่ทั่วโลกของโควิด-๑๙
(ค) ขอให้รัฐบาลและรัฐสภาดำเนินการอย่างมุ่งมั่นยิ่งขึ้นในการแก้ไขมาตรา ๓๕๙ แห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาฉบับที่ ๒๙ ว่าด้วยแรงงานบังคับ ค.ศ. ๑๙๓๐ และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับการทำงานด้านแรงงานบังคับของรัฐสภา
(ง) แสดงความกังวลเรื่อง การตั้งข้อหาการกระทำความผิดกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมและการเดินขบวนโดยสันติ ต่อนักกิจกรรมสหภาพแรงงานจำนวน ๘ คน และเรื่องการบังคับกฎหมายเพื่อเป็นหนทางในการปฏิเสธ การใช้สิทธิและเสรีภาพในการสมาคมโดยสงบของสหภาพแรงงาน และเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกกฎภายใต้ Pyigyitagon Township in Mandalay และกฎอื่น ๆ ของรัฐ Mandalay ซึ่งห้ามประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขต Mandalay เดินขบวนหรือชุมนุมโดยสงบ และขอให้ระบุถึงหลักการด้านเสรีภาพในการสมาคมและเสรีภาพในการชุมนุมไว้ในร่างกฎหมายการจัดตั้งองค์กรของนายจ้างและของลูกจ้าง
(จ) ขอให้ประเทศสมาชิกสนับสนุนการระดมทรัพยากร เพื่อนำมาใช้ในการปฏิบัติตาม DWCP อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงสถานการณ์โควิด-๑๙ การขจัดแรงงานบังคับและรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของแรงงานเด็ก การจัดทำกลไกการรับคำร้องเรียนแห่งชาติให้น่าเชื่อถือ การเสริมสร้างระบบการตรวจแรงงานเพื่อการบังคับใช้กฎหมายแรงงานที่มีประสิทธิภาพ
๕. คำชี้แจงของรัฐบาลเวเนซุเอลาต่อรายงานของคณะกรรมาธิการไต่สวนเพื่อพิจารณาข้อกล่าวหาว่า ประเทศเวเนซุเอลาไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับที่ ๒๖ ว่าด้วยกลไกการกำหนดค่าจ้าง ค.ศ. ๑๙๒๘ อนุสัญญาฉบับที่ ๘๗ ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว ค.ศ. ๑๙๔๘ และอนุสัญญาฉบับที่ ๑๔๔ ว่าด้วยการปรึกษาหารือไตรภาคี (มาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ) ค.ศ. ๑๙๗๖
ที่มา
ผู้เข้าร่วมประชุมฝ่ายนายจ้างในการประชุม ILC สมัยที่ ๑๐๔ ได้ยื่นคำร้องกล่าวหารัฐบาลเวเนซุเอลาว่า ไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ให้สัตยาบันแล้วฉบับที่ ๒๖ ๘๗ และ ๑๔๔ ต่อมาที่ประชุม GB สมัยที่ ๓๓๓ (มิถุนายน ๒๕๖๒) ได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการไต่สวนพิจารณาดำเนินการต่อไป ซึ่งคณะกรรมาธิการไต่สวนได้จัดทำรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์การปฏิบัติตามอนุสัญญาต่าง ๆ ตามคำร้องและให้ข้อแนะนำในทางปฏิบัติส่งให้รัฐบาลเวเนซุเอลา เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๒ และนำเสนอรายงานต่อที่ประชุม GB สมัยที่ ๓๓๗ (เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๖๒) ซึ่งในรายงานระบุว่า รัฐบาลเวเนซุเอลาควรดำเนินการตามข้อแนะนำโดยทันทีและให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๓ และส่งรายงานการปฏิบัติตามข้อแนะนำดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญการอนุวัติการอนุสัญญาและข้อแนะของ ILO ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ๒๕๖๓
ความคืบหน้าของสถานการณ์
– วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๒ รัฐบาลเวเนซุเอลามีหนังสือแจ้งต่อ ILO ว่า ได้รับรายงานของคณะกรรมาธิการไต่สวนแล้ว และไม่สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในรายงานของคณะกรรมาธิการไต่สวนได้ทั้งหมด
– วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๓ ผู้อำนวยการใหญ่ ILO มีหนังสือแจ้งต่อรัฐบาลเวเนซุเอลาว่า ตามมาตรา ๒๙ วรรค ๒ ของธรรมนูญ ILO นั้น รัฐบาลเวเนซุเอลาต้องแจ้งเป็นหนังสือต่อผู้อำนวยการใหญ่ ILO ภายใน ๓ เดือนนับแต่วันที่ได้รับรายงานของคณะกรรมาธิการไต่สวนว่า จะยอมรับในคำแนะนำของคณะกรรมาธิการไต่สวนหรือไม่ หากไม่ยอมรับคำแนะนำดังกล่าว ILO จะต้องส่งเรื่องให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศพิจารณา
– รัฐบาลเวเนซุเอลาได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ วันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๓ และวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๖๓ ถึง ILO เพื่อแจ้งผลความคืบหน้าการดำเนินงานในบางประเด็น
– วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๓ รัฐบาลเวเนซุเอลามีหนังสือแจ้งต่อผู้อำนวยการใหญ่ ILO ว่า ไม่ยอมรับคำแนะนำของคณะกรรมาธิการไต่สวน เนื่องจากขัดกับรัฐธรรมนูญของประเทศและละเมิดอำนาจอธิปไตยของเวเนซุเอลา อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยินดีที่ปรับปรุงการปฏิบัติให้สอดคล้องกับอนุสัญญาที่ได้ให้สัตยาบันแล้ว และจะยังคงรายงานความคืบหน้าใด ๆ ที่มีให้ ILO ทราบต่อไป พร้อมกับขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการจาก ILO
มติที่ประชุม
GB ไม่สามารถบรรลุฉันทามติได้ ประธานการประชุมจึงตัดสินให้เลื่อนการพิจารณาออกไปในการประชุม GB สมัยที่ ๓๔๑ (เดือนมีนาคม ๒๕๖๔)
๖. คำร้องเรียนเรื่อง รัฐบาลบังกลาเทศไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ให้สัตยาบันแล้วฉบับที่ ๘๑ ว่าด้วยการตรวจแรงงาน ค.ศ. ๑๙๔๗ ฉบับที่ ๘๗ ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิใน การรวมตัว ค.ศ. ๑๙๔๘ และฉบับที่ ๙๘ ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรองร่วม ค.ศ. ๑๙๔๙
ที่มา
ที่ประชุม GB สมัยที่ ๓๓๗ (เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๖๒) ได้พิจารณาว่า คำร้องเรียนกรณีประเทศบังกลาเทศไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับที่ ๘๑ ๘๗ และ ๙๘ เข้าข่ายการยื่นคำร้องเรียนตามมาตรา ๒๖ ของธรรมนูญ ILO และมีมติรับคำร้องเรียนนี้ และให้สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศส่งคำร้องเรียนให้รัฐบาลบังกลาเทศเพื่อพิจารณาให้ความเห็นและชี้แจงข้อเท็จจริง เพื่อเสนอต่อที่ประชุม GB ในคราวถัดไป
ประเด็นการเพื่อพิจารณา
รัฐบาลบังกลาเทศได้นำส่งรายงานความเห็นและชี้แจงมูลเท็จจริง ต่อที่ประชุม GB โดยมีประเด็นหลัก ดังนี้
– คำร้องเรียนว่า กฏหมายแรงงานกำหนดให้สหภาพแรงงานต้องมีสมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๐ ของลูกจ้างในสถานประกอบการ ทำให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้างจำนวนมากรวบรวมสมาชิกได้ลำบาก โดยรัฐบาลชี้แจงว่า ข้อบังคับนี้แก้ไขจากจำนวนขั้นต่ำร้อยละ ๓๐ เป็นร้อยละ ๒๐ และผ่านความเห็นชอบจากองค์กรผู้แทนนายจ้างและลูกจ้างในประเทศแล้ว
– คำร้องเรียนว่า ภาครัฐปฏิเสธการจดทะเบียนจัดตั้งสหภาพแรงงานเพื่อกีดกันการใช้สิทธิจัดตั้งสมาคมของลูกจ้าง โดยรัฐบาลชี้แจงว่า ภาครัฐปฏิเสธการจดทะเบียนจัดตั้งสหภาพแรงงานเฉพาะในกรณีที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ซึ่งรัฐบาลยินดีที่จะปรึกษาหารือไตรภาคี เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของ เกณฑ์ดังกล่าว
– คำร้องเรียนว่า รัฐบาลเพิกเฉยและปล่อยให้มีการเลือกปฏิบัติเพื่อเป็นการต่อต้านสหภาพแรงงานโดยรัฐบาลชี้แจงข้อมูลการเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงและการบังคับใช้กฎหมายกับกรณีต่าง ๆ ตามคำร้อง
– คำร้องเรียนว่า กฎหมายบริหารเขตอุตสาหกรรมส่งออกไม่ให้สิทธิลูกจ้างในเขตอุตสาหกรรมส่งออกรวมตัวกันจัดตั้งหรือเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน เจรจาต่อรอง และนัดหยุดงาน โดยรัฐบาลชี้แจงว่า ลูกจ้างในเขตอุตสาหกรรมส่งออกมีสิทธิในรวมตัวและเจรจาต่อรองร่วมภายใต้กฎหมายแรงงานสำหรับเขตอุตสาหกรรมส่งออก
– คำร้องเรียนว่า กฎหมายด้านการตรวจแรงงานไม่ครอบคลุมถึงเขตอุตสาหกรรมส่งออก โดยรัฐบาลชี้แจงว่า กฎหมายกำหนดให้แต่ละเขตอุตสาหกรรมส่งออกจัดทำระบบการตรวจแรงงานให้สอดคล้องกฎหมายที่มีอยู่
มติที่ประชุม
จากข้อมูลของรัฐบาลบังกลาเทศเรื่อง สถานการณ์ด้านเสรีภาพในการสมาคมภายในประเทศ ประกอบกับคำมั่นของรัฐบาลที่จะปรับปรุงสถานการณ์ในภาพรวมให้ดีขึ้นและจะนำเสนอถึงการจัดการกับปัญหาที่เห็นอย่างเด่นชัดต่อองค์คณะด้านการกำกับดูแล คณะประศาสน์การ
(ก) เรียกร้องให้รัฐบาลบังคลาเทศ โดยการสนับสนุนของสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ และฝ่ายเลขาธิการกลุ่มนายจ้างและกลุ่มคนงาน และโดยการปรึกษาหารือกับหุ้นส่วนทางสังคมที่เกี่ยวข้อง จัดทำแผนปฏิบัติตาม roadmap อย่างมีกรอบเวลาและตั้งเป้าผลลัพธ์ให้สามารถจัดการกับประเด็นปัญหาที่เห็นอย่างเด่นชัดตามคำร้องเรียนภายใต้มาตรา ๒๖ ของธรรมนูญ ILO ที่ยื่นต่อที่ประชุม ILC สมัยที่ ๑๐๙ (พ.ศ. ๒๕๖๒)
(ข) เรียกร้องให้รัฐบาลบังคลาเทศจัดทำรายงานความคืบหน้าใด ๆ ที่มีเสนอต่อที่ประชุม GB ในคราวถัดไป
(ค) เลื่อนการมีมติใด ๆ เกี่ยวกับคำร้องเรียนไปพิจารณาในการประชุม GB สมัยที่ ๓๔๑ (มีนาคม ๒๕๖๔)
๗. รายงานของคณะกรรมการว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคม
คณะกรรมการว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคม (Committee on Freedom of Association: CFA) ที่มีหน้าที่ติดตามตรวจสอบข้อร้องเรียนการละเมิดเสรีภาพในการสมาคมในประเทศสมาชิก แม้ว่าประเทศนั้นจะยังไม่ได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับที่ ๘๗ หรือ ๙๘ ได้เสนอรายงานฉบับที่ ๓๙๒ เกี่ยวกับการพิจารณาคำร้องเรียนกรณีรัฐบาลละเมิดเสรีภาพในการสมาคม ดังนี้
๑. คำร้องเรียนที่เป็นกรณีร้ายแรงและเร่งด่วน (Serious and urgent cases) ซึ่ง CFA ให้ความสนใจเป็นพิเศษ และรัฐบาลต้องเข้าดำเนินการโดยทันที เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการสังหาร ข่มขู่ ละเมิด และใช้ความรุนแรง กับผู้นำ สมาชิก และผู้สนับสนุน สหภาพแรงงาน จำนวน ๓ คำร้อง คือ คำร้องเรียนต่อรัฐบาลอิหร่าน ฟิลิปปินส์ และบังกลาเทศ
๒. คำร้องเรียนที่เป็นกรณีอุทธรณ์เร่งด่วน (Urgent appeals) จำนวน ๓ คำร้อง ซึ่งเป็นกรณีที่ CFA ต้องการ คำชี้แจงและข้อมูลที่จำเป็นต่าง ๆ จากรัฐบาล เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในการประชุม CFA คราวต่อไป ทั้งนี้ การอุทธรณ์เร่งด่วนมีสาเหตุสำคัญจาก ๒ กรณี คือ (ก) CFA ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของรัฐบาล หรือ (ข) รัฐบาลยังไม่ส่งความเห็นหรือข้อมูลใด ๆ ทั้งนี้ ให้รัฐบาลส่งคำชี้แจงหรือข้อมูลที่จำเป็นให้กับ CFA ภายในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาของที่ประชุม CFA ต่อไป โดยในกรณีนี้ไม่มีคำร้องเรียนต่อรัฐบาลของสมาชิกอาเซียน
๓. คำร้องเรียนกรณีรอความเห็นจากรัฐบาล (Observation requested from governments) จำนวน ๗ คำร้อง ซึ่งเป็นกรณีที่ CFA อยู่ระหว่างการรอความเห็นหรือข้อมูลเกี่ยวกับคำร้องเรียนจากรัฐบาล ตามที่ร้องขอ เพื่อประกอบการพิจารณาต่อไปของ CFA โดยในกรณีนี้มีคำร้องเรียนต่อรัฐบาลของสมาชิกอาเซียน ๑ คำร้อง คือ คำร้องเรียนหมายเลข ๓๑๘๕ ต่อรัฐบาลฟิลิปปินส์ กรณีการเสียชีวิตของผู้นำสหภาพแรงงาน ๓ ราย และการข่มขู่ผู้นำสหภาพแรงงาน ๔ คน และครอบครัว
๔. คำร้องเรียนที่รัฐบาลให้ความเห็นหรือข้อมูลมาเพียงบางส่วน (Partial information received from governments) จำนวน ๒๘ คำร้อง ซึ่งเป็นกรณีที่ CFA ขอให้รัฐบาลให้ความเห็นหรือข้อมูลเพิ่มเติมให้ครบตามที่ร้องขอ ทั้งนี้ ให้รัฐบาลส่งคำชี้แจงหรือข้อมูลที่จำเป็นให้กับ CFA ภายในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาของที่ประชุม CFA ต่อไป โดยในกรณีนี้ไม่มีคำร้องเรียนต่อรัฐบาลของสมาชิกอาเซียน
๕. คำร้องเรียนใหม่ (New cases) จำนวน ๑๖ คำร้อง โดยในกรณีนี้ไม่มีคำร้องเรียนต่อรัฐบาลของสมาชิกอาเซียน
๖. คำร้องเรียนที่อยู่ระหว่างติดตามผล (Follow-up cases) จำนวน ๓๒ คำร้อง ซึ่งเป็นกรณีที่ CFA ได้พิจารณาคำร้องเรียนแล้วและได้ให้คำแนะนำในทางปฏิบัติต่อรัฐบาล ซึ่งหากรัฐบาลสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำได้ ก็สามารถนำไปสู่การยุติคำร้องเรียน (Closed cases) โดยในกรณีนี้มีคำร้องเรียนต่อรัฐบาลประเทศไทย และสมาชิกอาเซียนที่อยู่ในกลุ่ม คือ
– คำร้องเรียนหมายเลข ๓๐๒๒ ต่อรัฐบาลไทย กรณีการกระทำอันเป็นการต่อต้านสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย
– คำร้องเรียนหมายเลข ๓๑๖๔ ต่อรัฐบาลไทย กรณีพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ และพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มีบทบัญญัติที่ขัดกับอนุสัญญาฉบับที่ ๘๗ และ ๙๘
– คำร้องเรียนหมายเลข ๓๑๒๑ ต่อรัฐบาลกัมพูชา กรณีปฏิเสธการจดทะเบียนสหภาพแรงงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอ และการเลือกปฏิบัติเพื่อต่อต้านสหภาพแรงงาน
– คำร้องเรียนหมายเลข ๒๖๓๗ ต่อรัฐบาลมาเลเซีย กรณีการไม่อนุญาตให้คนงานทำงานบ้านที่เป็นแรงงานต่างด้าวจัดตั้งองค์กรเพื่อปกป้องสิทธิประโยชน์จากการทำงาน
– คำร้องเรียนหมายเลข ๒๕๒๘ ต่อรัฐบาลฟิลิปปินส์ กรณีการข่มขู่ การละเมิด การใช้ความรุนแรงกับผู้นำแรงงาน สมาชิกสหภาพแรงงาน และที่ปรึกษาแรงงาน
– คำร้องเรียนหมายเลข ๒๖๕๒ ต่อรัฐบาลฟิลิปปินส์ กรณีการละเมิดสิทธิในการร่วมตัวและการเจรจาต่อรองร่วมของลูกจ้างบริษัท Toyota Motor Philippines Corporation
– คำร้องเรียนหมายเลข ๒๗๑๖ ต่อรัฐบาลฟิลิปปินส์ กรณีศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลแรงงานให้นายจ้างเลิกจ้างกรรมการสหภาพแรงงาน และสมาชิกสหภาพแรงงานที่อยู่ระหว่างการนัดหยุดงาน
๗. คำร้องเรียนที่อยู่ระหว่างการติดตามผลจำนวน ๓๒ คำร้องข้างต้น ได้รับการพิจารณาให้ยุติคำร้องเรียน (Closed cases) จำนวน ๑๔ คำร้อง โดยในกรณีนี้มีคำร้องเรียนต่อรัฐบาลสมาชิกอาเซียน คือ
– คำร้องหมายเลข ๓๓๐๕ ต่อรัฐบาลอินโดนีเซีย กรณีการกระทำอันเป็นการต่อต้านสหภาพแรงงานในกลุ่มกิจการร้านอาหาร
– คำร้องหมายเลข ๒๘๕๐ ต่อรัฐบาลมาเลเซีย กรณีการจดทะเบียนสหภาพแรงงานของธนาคารซ้ำซ้อนกัน
– คำร้องหมายเลข ๓๑๒๖ ต่อรัฐบาลมาเลเซีย กรณีการละเมิดข้อตกลงร่วม การเลิกจ้างสมาชิกสหภาพแรงงาน และการยกเลิกสหภาพแรงงานในระหว่างการยื่นข้อพิพาทแรงงาน
– คำร้องหมายเลข ๓๑๕๙ ต่อรัฐบาลฟิลิปปินส์ กรณีการกระทำอันไม่เป็นธรรมต่อ Boie Takeda Chemicals Employees Association – Federation of Free Workers (BTCEA–FFW)
๘. คำร้องเรียนที่ CFA พิจารณาตรวจสอบจนได้ข้อสรุปและข้อแนะนำเพื่อนำไปปฏิบัติมีจำนวน ๓๒ คำร้อง ต่อไป โดยในกรณีนี้ไม่มีคำร้องเรียนต่อรัฐบาลของสมาชิกอาเซียน
มติที่ประชุม
คณะประศาสน์การมีมติรับรองรายงานฉบับที่ ๓๙๒ ของ CFA และรับรองข้อแนะนำของ CFA ที่มีต่อรัฐบาล ๓๒ ประเทศ
๘. รายงานการประชุมคณะกรรมการบริหารศูนย์ฝึกอบรมระหว่างประเทศของ ILO ณ เมืองตูริน สมัยที่ ๘๓ (วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๓)
องค์ประกอบคณะกรรมการบริหารฯ
ประธาน คือ Mr. Guy Rider ผู้อำนวยการใหญ่ ILO
ฝ่ายรัฐบาล
– สมาชิกประจำ จำนวน ๑๒ คน ประกอบด้วยผู้แทนรัฐบาลประเทศเยอรมนี บาร์เบโดส จีน โกตดิวัวร์ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส อินเดีย จีน มอริเตเนีย ปารากกวัย โรมาเนีย และเซเนกัล
– สมาชิกสำรอง จำนวน ๘ คน ประกอบด้วยผู้แทนรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ชิลี อิหร่าน โมร็อกโก นามิเบีย ไนจีเรีย ยูกันดา และตุรกี
ฝ่ายนายจ้าง
– สมาชิกประจำ จำนวน ๖ คน ได้แก่ Mr. A. Abu El Ragheb (จอร์แดน) Mr. C. Kyriazis (กรีซ) Mr. F. Ahmed (บังกลาเทศ) Ms. H. Liu (จีน) M. H. Diop (เซเนกัล) และ M. M. Megateli (อัลจีเรีย)
– สมาชิกสำรอง จำนวน ๖ คน ได้แก่ M. K. Ghariani (ตูนีเซีย) Sr. G. Ricci (กัวเตมาลา) M. K. N’dri (โกตดิวัวร์) Mr. T. Schoenmaeckers (เนเธอร์แลนด์) Mr. O. Oshinowo (ไนจีเรีย) และ Mr. C. Vern Gill (เซนต์ลูเซีย)
ฝ่ายลูกจ้าง
– สมาชิกประจำ จำนวน ๖ คน ได้แก่ Ms. S. Cappuccio (อิตาลี) Ms. A. Chipeleme (แซมเบีย) Sra. M. F. Carvalho Francisco (แองโกลา) Sra. E. Familia (โดมินิกัน) Mr. R. P. Chandrasekheran (อินเดีย) และ Ms. T. Moore (บาร์เบโดส)
– สมาชิกสำรอง จำนวน ๖ คน ได้แก่ Sr. A. Amacio Vale (บราซิล) Mr. P. Dimitrov (บัลแกเรีย) Mr. F. Atwoli (เคนยา) M. M. Guiro (เซเนกัล) Ms. M. Clarke Walker (แคนาดา) และ Mr. G. Jiang (จีน)
ผลการประชุมที่สำคัญ
– ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ศูนย์ฝึกอบรมฯ ทำรายได้เกินดุลงบประมาณ จำนวน ๓.๐๘๘ ล้านยูโร แต่คาดว่าจะขาดดุล จำนวนประมาณ ๗ ล้านยูโร ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ เนื่องจากวิกฤติโควิด-๑๙
– ผู้เข้ารับการอบรมในช่วง พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ของ ILO และ UN มีเพียง ๑ ในสามเท่านั้นที่มาจากสมาชิกสามฝ่ายของ ILO ที่ประชุมจึงมอบสำนักงานศูนย์อบรมฯ พิจารณาจัดทำแผนเพิ่มจำนวนผู้เข้ารับการอบรมจากสมาชิกสามฝ่ายของ ILO
– ตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นมา ศูนย์ฝึกอบรมได้เปลี่ยนวิธีการอบรมเป็นการอบรมทางไกลผ่านระบบ IT เนื่องจากวิกฤติโควิด-๑๙
– ที่ประชุมมอบสำนักงานศูนย์อบรมฯ ปรับปรุงแผนงานและงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๖ และแผนกลยุทธ พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๘ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยให้นำเสนอร่างต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารฯ สมัยวิสามัญที่ ๘๔ ในเดือนเมษายน ๒๕๖๔ เพื่อพิจารณารับรองในการประชุมคณะกรรมการบริหารฯ สมัยที่ ๘๕ ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๔
– จากผลการตรวจสอบภายในด้านการเงินและการดำเนินงาน ไม่พบข้อบกพร่องใด ๆ
ไม่มีมติคณะประศาสน์การ เนื่องจากเป็นวาระการรายงานข้อมูล
๙. รายงานของผู้อำนวยการใหญ่ ILO
ผู้อำนวยการใหญ่รายงานต่อที่ประชุม GB ดังนี้
– แจ้งข่าวการเสียชีวิตของอดีตสมาชิก GB
– ประเทศสมาชิก ILO มีจำนวนเท่าเดิม คือ ๑๘๗ ประเทศ
– นับแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ จนถึงวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๓ ผู้อำนวยการใหญ่ได้จดทะเบียนการให้สัตยาบันอนุสัญญาไปแล้วจำนวน ๓๐ ครั้ง และมีประเทศสมาชิก ๘ ประเทศให้สัตยาบันพิธีสารปี ๒๐๑๔ ประกอบอนุสัญญาฉบับที่ ๒๙ ว่าด้วยแรงงานบังคับ ค.ศ. ๑๙๓๐ และมีประเทศสมาชิก ๒ ประเทศให้สัตยาบันพิธีสารปี ๒๐๐๒ ประกอบอนุสัญญาฉบับที่ ๑๕๕ ว่าด้วยสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน ค.ศ. ๑๙๘๑
– ประเทศเดนมาร์กยกเลิกการให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับที่ ๑๘ ว่าด้วยเงินทดแทน (กรณีเจ็บป่วยจากการทำงาน) ค.ศ. ๑๙๒๕
– นับแต่วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ มีประเทศสมาชิกให้สัตยาบันตราสาร ค.ศ. ๑๙๘๖ เพื่อแก้ไขธรรมนูญ ILO เพิ่มเติม ๒ ประเทศ คือ แอลเบเนีย และจิบูตี รวมเป็นประเทศสมาชิกที่ให้สัตยาบันทั้งหมด ๑๑๓ ประเทศ ขณะนี้ยังขาดการให้สัตยาบันจากประเทศสมาชิกจำนวน ๑๒ ประเทศ โดยเป็นประเทศสมาชิกในกลุ่มประเทศที่มีความสำคัญทางอุตสาหกรรมอย่างน้อย ๓ ประเทศ (จาก ๑๐ ประเทศ คือ ประเทศบราซิล จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี อินเดีย อิตาลี ญี่ปุ่น รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ ประเทศอินเดีย และอิตาลี ได้ให้สัตยาบันแล้ว) เพื่อทำให้ตราสารฉบับนี้มีผลบังคับใช้
– การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูง ดังนี้
– Ms. Beate Andrees (เยอรมนี) ดำรงตำแหน่ง ผู้แทนพิเศษประจำสหประชาชาติ และผู้อำนวยการสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ ณ นิวยอร์ก
– Ms. Claudia CoenJaerts (เบลเยียม) ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ ประจำภูมิภาคละตินอเมริกาและแคริบเบียน
– Mr. Joaquim Pintado Nunes (โปรตุเกส) ดำรงตำแหน่ง Chief of the Labour Administration, Labour Inspection and Occupational Safety and Health Branch (LABADMIN/OSH)
– Ms. Anne Caroline Posthuma (สหรัฐฯ) ดำรงตำแหน่ง Director of the Inter-American Centre for Knowledge Development in Vocational Training (CINTERFOR) ประเทศอุรุกวัย
– Mr. Rechard Samans (สหรัฐฯ) ดำรงตำแหน่ง Director of the Research Department (RESEARCH)
– Ms. Bojana Sosic (สหรัฐฯ) ดำรงตำแหน่ง Chief of Budget and Finance (BUDFIN)
– Mr. Dennis Zulu (แซมเบีย) ดำรงตำแหน่ง ILO Director of the Decent Work team and Country Office for the Caribbean
มติที่ประชุม
คณะประศาสน์การ
(ก) รับทราบข้อมูลตามเอกสาร GB.338/INS/15 และ GB.338/INS/18 เกี่ยวกับความคืบหน้าด้านกฎหมายแรงงานระหว่างประเทศ การบริหารจัดการภายใน และเอกสารเผยแพร่ต่าง ๆ
(ข) ไว้อาลัยต่อการจากไปของ Ms. Noemi Rial และรับทราบถึงการส่งสารแสดงความเสียใจของผู้อำนวยใหญ่ ILO ต่อครอบครัวของ Ms. Rial และรัฐบาลอาร์เจนตินา
(ค) ไว้อาลัยต่อการจากไปของ Mr. Yoshikazu Tanaka และรับทราบถึงการส่งสารแสดงความเสียใจของผู้อำนวยใหญ่ ILO ต่อครอบครัวของ Mr. Tanaka และ Japanese Trade Union Confederation the International Trade Union Confederation (ITUC);
(ง) ไว้อาลัยต่อการจากไปของ Mr. Bryan Noakes และรับทราบถึงการส่งสารแสดงความเสียใจของผู้อำนวยใหญ่ ILO ต่อครอบครัวของ Mr. Noakes และ the Australian Chamber of Commerce and Industry and the International Organisation of Employers
(จ) ไว้อาลัยต่อการจากไปของ Mr. Jan Sithole และรับทราบถึงการส่งสารแสดงความเสียใจของผู้อำนวยใหญ่ ILO ต่อครอบครัวของ Mr. Sithole และ the Swaziland Federation of Trade Unions and the ITUC
๑๐. รายงานเสริมฉบับที่ ๖ เรื่อง การรับมือของสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศต่อการระบาดใหญ่ ทั่วโลกของโควิด-๑๙
รายงานฉบับนี้นำเสนอถึงการดำเนินงานต่าง ๆ ของสำนักงานระหว่างประเทศเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากวิกฤตโควิด-๑๙ ที่มีต่อประเทศสมาชิก ดังนี้
ผลผลิตและกิจกรรมที่สำคัญ
การจัด Global Summit: COVID-19 and the world of work
กิจกรรมครั้งนี้มีลักษณะของการอภิปรายแลกเปลี่ยนทางไกลผ่านจอภาพ โดยจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๓ ซึ่งเป็นการเปิดเวทีให้ผู้แทนจากไตรภาคีทั้งสามฝ่ายได้หยิบยกถึงประเด็นผลกระทบของ COVID-19 ที่มีต่อเศรษฐกิจและสังคม และการนำหลักการของปฏิญญาแห่งศตวรรษเพื่ออนาคตของงานมาช่วยฟื้นฟูสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นกว่าเดิมในช่วงหลังการระบาดใหญ่ทั่วโลกมาพิจารณา มีผู้นำแห่งรัฐหรือผู้นำรัฐบาลเข้าร่วมกิจกรรม ๕๑ คน มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของภาครัฐ ผู้แทนนายจ้าง และผู้แทนลูกจ้าง จาก ๙๘ ประเทศเข้าร่วมกิจกรรม
ILO Monitor
สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้เผยแพร่เอกสาร ILO Monitor: COVID-19 and the world of work ออกมาจำนวน ๖ ฉบับแล้ว เพื่อให้ข้อมูลผลกระทบของวิกฤตที่มีต่อตลาดแรงงาน และประมาณการณ์ด้านการสูญเสียชั่วโมงการทำงานที่เกิดขึ้นในระดับโลกและภูมิภาค รวมถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น ความยากจนจากการทำงานและรายได้แรงงาน (การมีค่าใช้จ่ายในการไปทำงานเกินกว่ารายได้ที่ได้รับ) ภาคส่วน วิสาหกิจ และคนงาน ที่มีความเสี่ยงมากที่สุด ผลกระทบใด ๆ ที่มีต่อภาคเศรษฐกิจนอกระบบ เยาวชน และสตรี
The COVID-19 Information Hub
การจัดทำสรุปข้อมูลด้านการรับมือกับโควิด-๑๙ ของประเทศสมาชิกทั้ง ๑๘๗ ประเทศ
การนำกรอบงานเชิงนโยบายของ ILO มาปฎิบัติ เพื่อจัดการกับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากโควิด-๑๙
กรอบงานเชิงนโยบายดังกล่าวอยู่ภายใต้เสาหลัก ๔ ประการ คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจและ การมีงานทำ การส่งเสริมสถานประกอบการ ตำแหน่งงาน และรายได้ การคุ้มครองคนงานในสถานที่ทำงาน และการพึ่งพาการเจรจาทางสังคม
ศูนย์ฝึกอบรมแรงงานระหว่างประเทศของ ILO ณ เมืองตูริน
ศูนย์ฝึกอบรมฯ ตอบรับกับสถานการณ์การระบาดของโควิด-๑๙ อย่างทันท่วงที โดยการสร้างระบบและกำหนดรูปแบบการอบรมแบบทางไกลผ่านระบบดิจิทัล ทั้งยังกำหนดหลักสูตรอบรมใหม่ ๆ ขึ้นมาให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดของไวรัส
การทำงานร่วมกับสหประชาชาติและกลุ่ม G20
สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานกับสหประชาชาติเพื่อรับมือกับการระบาดของไวรัส โดยมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่สำคัญมากมาย เช่น การจัดทำ UN Secretary-General’s Brief on the World of Work and COVID-19 การมีส่วนสนับสนุนการก่อตั้ง UN COVID-19 Multi-Partner Trust Fund เป็นต้น นอกจากนั้น สำนักงานฯ ยังได้เข้าร่วมประชุมและกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมที่สำคัญต่าง ๆ ของ กลุ่ม G20
ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา
สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้จัดทำความร่วมมือเพื่อการพัฒนากับสมาชิกทั้งสามฝ่ายและกับองค์กรต่าง ๆ อันทำให้เกิดแผนงานและโครงการต่าง ๆ มากมาย เช่น IPEC+Flagship Programme เพื่อติดตามผลกระทบของโควิด-๑๙ อย่างใกล้ชิดในประเทศสมาชิกมากกว่า ๖๐ ประเทศ การให้ความร่วมมือกับรัฐบาลจอร์แดนใน Employment-Intensive Investment Programme เป็นต้น
โควิด-๑๙ และแผนงานและงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔
สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้มีการปรับใช้แผนงานและงบประมาณเพื่อให้สอดคล้องกับการรับมือโควิด-๑๙ โดยไม่ให้ไปจากวัตถุประสงค์เดิมของการกำหนดแผนงานและงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ โดยจะนำเสนอรายละเอียดการปรับแผนงานและงบประมาณดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ ๓๔๑
การสื่อสาร
สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการสื่อสารขององค์กรอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ตอบรับกับการเกิดวิกฤตโควิด-๑๙ มีการสื่อสารทางไกลผ่านระบบดิจิทัลมากขึ้น รวมถึง สร้างช่องทางและระบบสำหรับการประชุมทางไกล
มติที่ประชุม
คณะประศาสน์การรับทราบรายงานตามเอกสาร GB.340/INS/18/6 และมอบผู้อำนวยการใหญ่ ILO
(ก) กำกับการทำงานของสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ และรับมือกับวิกฤติโควิด-๑๙ โดยคำนึงถึงแนวทางที่ได้จากการประชุม
(ข) รายงานข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับปรับใช้แผนงานและงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ เพื่อรับมือกับโควิด-๑๙ ต่อที่ประชุม GB สมัยที่ ๓๔๑ (เดือนมีนาคม ๒๕๖๔)
๑๑. รายงานเสริมฉบับที่ ๗: การแต่งตั้งรองผู้อำนวยการใหญ่ และผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่
ผู้อำนวยการใหญ่ ILO ได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ระดับบริหาร ดังนี้
– Ms. Martha Newton (สหรัฐฯ) ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการใหญ่ ILO เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๓
– Ms. Chihoko Asada-Miyakawa (ญี่ปุ่น) ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ณ กรุงเทพฯ เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๓
มติที่ประชุม
คณะประศาสน์การรับทราบการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ข้างต้นโดยผู้อำนวยการใหญ่ ILO หลังจากได้ปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่ประจำคณะประศาสน์การแล้ว และได้เชิญ Ms. Martha Newton และ Ms. Chihoko Asada-Miyakawa ลงนามในประกาศเจตจำนงสุจริต ตามมาตรา ๑.๔ (บี) ของข้อบังคับเจ้าหน้าที่ ILO
๑๒. รายงานเสริมฉบับที่ ๘: รายงานของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำร้องเรียนเรื่อง รัฐบาลเลโซโทไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ให้สัตยาบันแล้วฉบับที่ ๒๖ ว่าด้วยกลไกการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ ค.ศ. ๑๙๒๘
ที่มา
รัฐบาลเลโซโทถูกร้องเรียนว่า กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำโดยไม่ครอบคลุมถึงคนงานในภาคสิ่งทอ และไม่มีการปรึกษาหารือไตรภาคีอย่างทั่วถึงในการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละปี โดยในปี พ.ศ. ๒๕๖๑ รัฐบาลไม่ประกาศใช้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ปรับขึ้นประจำปีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด คือ ภายในเดือนเมษายนของทุกปี ซึ่งที่ประชุม GB สมัยที่ ๓๓๖ (เดือนมิถุนายน ๒๕๖๒๗) ได้พิจารณารับคำร้องและแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จของคำร้องเรียนดังกล่าว
ข้อเสนอเพื่อพิจารณา
คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงได้ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและเสนอรายงานผลการพิจารณาสรุปได้ว่า อนุสัญญาไม่ได้กำหนดเรื่องระยะเวลาการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ดังนั้น การที่รัฐบาลไม่ประกาศใช้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำภายในเวลาที่กฏหมายกำหนดจึงไม่ขัดกับอนุสัญญา ต่อกรณีอัตราค่าจ้างขั้นที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๑ ไม่ครอบคลุมคนงานในภาคสิ่งทอนั้น รัฐบาลชี้แจงว่า ได้มีการกำหนดปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ๒ อัตรา คือ ปรับขึ้นร้อยละ ๙ สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิต และร้อยละ ๗ สำหรับภาคการทำงานอื่น ๆ โดยคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเห็นควรให้รัฐบาลและองค์กรผู้ร้องเรียนที่เกี่ยวข้องเข้ารับความช่วยเหลือทางวิชาการจาก ILO เพื่อร่วมกันส่งเสริมการมีส่วนร่วมของหุ้นส่วนทางสังคม และการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของกลไกการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำภายในประเทศ และเห็นควรยุติการสอบข้อเท็จจริง
มติที่ประชุม
คณะประศาสน์การ
(ก) รับรองรายงานตามเอกสาร GB.340/INS/18/8
(ข) ขอเชิญรัฐบาลและองค์กรผู้ร้องเรียนเข้ารับความช่วยเหลือทางวิชาการจาก ILO ในช่วง ๑๒ เดือนต่อจากนี้ เพื่อร่วมกันส่งเสริมการมีส่วนร่วมของหุ้นส่วนทางสังคม และการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของกลไกการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำภายในประเทศ
(ค) ขอให้รัฐบาลส่งรายงานการปฏิบัติตามอนุสัญญานี้ต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญการอนุวัติการตามอนุสัญญาและข้อแนะ
(ง) เผยแพร่รายงานของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ และยุติการพิจารณาคำร้องเรียน
๑๓. การพิจารณาการยื่นคำร้องเรียนเรื่อง รัฐบาลไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ให้สัตยาบันแล้ว
(วาระการประชุมลับ โดยให้เปิดเผยมติ GB ได้)
๑.๑ ข้อเสนอเพื่อพิจารณา
เจ้าหน้าที่ประจำ GB เสนอข้อมูลการยื่นคำร้องเรียนเรื่อง รัฐบาลไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ให้สัตยาบันแล้ว ดังนี้
– คำร้องเรียนกล่าวหารัฐบาลชิลีไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับที่ ๓๕ ว่าด้วยการประกันกรณีชราภาพ (ภาคอุตสาหกรรม ฯลฯ) ค.ศ. ๑๙๓๓ และฉบับที่ ๓๗ ว่าด้วยการประกันกรณีทุพพลภาพ (ภาคอุตสาหกรรม ฯลฯ) ค.ศ. ๑๙๓๓
– คำร้องเรียนกล่าวหารัฐบาลตูนีเซียไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับที่ ๘๑ ว่าด้วยการตรวจแรงงาน ค.ศ. ๑๙๔๗
– คำร้องเรียนกล่าวหารัฐบาลอาร์เจนตินาไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับที่ ๑๕๕ ว่าด้วยสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน ค.ศ. ๑๙๘๑ และฉบับที่ ๑๘๗ ว่าด้วยกรอบงานเชิงส่งเสริมอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน ค.ศ. ๒๐๐๖
– คำร้องเรียนกล่าวหารัฐบาลเปรูไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับที่ ๑ ว่าด้วยชั่วโมงการทำงาน (ภาคอุตสาหกรรม) ค.ศ. ๑๙๑๙
– คำร้องเรียนกล่าวหารัฐบาลเม็กซิโกไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับที่ ๑๐๒ ว่าด้วยความมั่นคงทางสังคม (มาตรฐานขั้นต่ำ) ค.ศ. ๑๙๕๒
– คำร้องเรียนกล่าวหารัฐบาลเปรูไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับที่ ๑๑๑ ว่าด้วยการเลือกปฏิบัติ (การจ้างงานและอาชีพ) ค.ศ. ๑๙๕๘ ฉบับที่ ๑๕๖ ว่าด้วยความรับผิดชอบต่อครอบครัว ค.ศ. ๑๙๘๑ และฉบับที่ ๑๗๖ ว่าด้วยสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในงานเหมืองแร่ ค.ศ. ๑๙๙๕
– คำร้องเรียนกล่าวหารัฐบาลโปรตุเกสไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับที่ ๘๑ ว่าด้วยการตรวจแรงงาน ค.ศ. ๑๙๔๗ ฉบับที่ ๑๒๙ ว่าด้วยการตรวจแรงงาน (ภาคเกษตร) ค.ศ. ๑๙๖๘ และฉบับที่ ๑๕๕ ว่าด้วยสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน ค.ศ. ๑๙๘๑
– คำร้องเรียนกล่าวหารัฐบาลโปรตุเกสไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับที่ ๑๔๙ ว่าด้วยบุคลากรทางการพยาบาล ค.ศ. ๑๙๗๗ ยื่นโดย Portuguese Nurses’ Union
มติที่ประชุม
คณะประศาสน์การมีมติให้รับคำร้องเรียนข้างต้นไว้ และให้ตั้งคณะกรรมการไตรภาคีเพื่อสอบข้อเท็จจริงต่อไป
๑.๒ ข้อเสนอเพื่อพิจารณา
เจ้าหน้าที่ประจำ GB เสนอข้อมูลการยื่นคำร้องเรียนกล่าวหารัฐบาลแคเมอรูนไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับที่ ๑๑ ว่าด้วยสิทธิในการสมาคม (ภาคเกษตรกรรม) ค.ศ. ๑๙๒๑ ฉบับที่ ๘๗ ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว ค.ศ. ๑๙๔๘ ฉบับที่ ๙๘ ว่าด้วยสิทธิรวมตัวและการเจรจาต่อรองร่วม ค.ศ. ๑๙๔๙ ฉบับที่ ๑๑๑ ว่าด้วยการเลือกปฏิบัติ (การจ้างงานและอาชีพ) ค.ศ. ๑๙๕๘ และฉบับที่ ๑๕๘ ว่าด้วยการเลิกจ้าง ค.ศ. ๑๙๘๒
มติที่ประชุม
คณะประศาสน์การมีมติไม่รับคำร้องเรียนนี้
๑.๓ ข้อเสนอเพื่อพิจารณา
เจ้าหน้าที่ประจำ GB เสนอข้อมูลการการติดตามผลคำร้องเรียนกล่าวหารัฐบาลชิลีไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับที่ ๑๘๗ ว่าด้วยกรอบงานเชิงส่งเสริมอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน ค.ศ. ๒๐๐๖
มติที่ประชุม
คณะประศาสน์การมีมติ
(ก) เลื่อนการแต่งตั้งคณะกรรมการไตรภาคีเพื่อสอบข้อเท็จจริงออกไปอีกครั้งหนึ่ง เพื่อรอผลจากการประชุมครั้งที่ ๖๑ ของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญการอนุวัติการอนุสัญญาและข้อแนะ (ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ๒๕๖๓) เกี่ยวกับการติดตามผลการปฏิบัติของรัฐบาลชิลีตามคำแนะนำที่เคยให้ไว้
(ข) ให้พิจารณาเรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการไตรภาคีเพื่อสอบข้อเท็จจริงในการประชุม GB สมัยที่ ๓๔๑ (มีนาคม ๒๕๖๔)
——————————————
ฝ่ายแรงงาน
คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา