๑. ประธานและรองประธาน
ประธานการประชุม
H.E. Mr. Refiloe LITJOBO เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรประเทศเลโซโทประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา
รองประธานการประชุม
– ฝ่ายนายจ้าง คือ Mr. Mthunzi MDWABA จากประเทศแอฟริกาใต้
– ฝ่ายลูกจ้าง คือ Ms Catelene PASSCHIER จากประเทศเนเธอร์แลนด์
– ฝ่ายรัฐบาล คือ H.E. Mr Audu Ayinla Kadiri เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรประเทศไนจีเรียประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา
๒. ภารกิจปลัดกระทรวงแรงงาน (นายสุทธิ สุโกศล) ระหว่างวันที่ ๔-๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
๒.๑ ช่วงเช้าของวันที่ ๔ และ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เข้าร่วมการประชุมกลุ่มภาครัฐในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เพื่อหารือและเตรียมการเรื่องจุดยืนของกลุ่มต่อวาระเพื่อพิจารณาในการประชุมคณะประศาสน์การ
๒.๒ วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ หารือข้อราชการกับคุณโทโมโกะ นิชิโมโตะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่และผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค ILO เกี่ยวกับการจัดงานประชุมองค์การ-แรงงานระหว่างประเทศระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (APRM) ซึ่งประเทศสิงคโปร์จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว และรับทราบเรื่อง สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่ ณ อาคารสหประชาชาติ กรุงเทพฯ ได้ปิดทำการเพื่อบูรณะอาคารสำนักงานเจ้าหน้าที่ ILO จึงได้รับอนุญาตให้ทำงานจากที่บ้าน โดยมีสำนักงานชั่วคราวสำหรับการประสานงาน ที่ชั้น ๑๘ อาคาร Park Ventures ECOPLEX ถนนวิทยุ เริ่มตั้งแต่วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๒ จนกว่าจะมีการแจ้งเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง
๒.๓ ช่วงค่ำของวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ หารือข้อราชการกับนายเสข วรรณเมธี เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา เกี่ยวกับท่าทีของรัฐบาลไทยและภาคีอาเซียนต่อการประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ ๓๓๗ ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูตฯ
๒.๔ วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ พบนางเอเวอลีน พริทชอทท์ เจ้าหน้าที่จากกระทรวงการจ้างงาน กิจการสังคม และการหลอมรวมทางสังคม สหภาพยุโรป เพื่อแนะนำตัวและร่วมหารือเกี่ยวกับการวางแผนจัดการประชุมระดับสูง Thailand-EU Labour Dialogue ณ อาคารสำนักงานใหญ่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ ซึ่งการประชุมครั้งนี้กระทรวงแรงงานไทยจะเป็นเจ้าภาพ โดยคาดว่าจะจัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
๒.๕ กล่าวถ้อยแถลงในนามอาเซียนในหัวข้อ Agenda of future sessions of the International Labour Conference ต่อที่ประชุม GB 337 ในวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เพื่อสนับสนุนให้มีการบรรจุหัวข้อเกี่ยวกับ “ทักษะฝีมือและการเรียนรู้ตลอดชีวิต” เข้าเป็นวาระเพื่อการอภิปรายในการประชุมใหญ่ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมัยที่ ๑๐๙ ใน พ.ศ. ๒๕๖๓ เนื่องจากโลกแห่งการทำงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และส่งผลต่อการเรียนรู้และการพัฒนาฝีมือแรงงานในรูปแบบเดิม จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหาแนวทางรองรับสำหรับอนาคตของงาน
๒.๖ กล่าวถ้อยแถลงในนามอาเซียนในหัวข้อ Follow-up to the resolution concerning the elimination of violence and harassment in the world of work ต่อที่ประชุม GB 337 ในวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เพื่อย้ำให้ ILO ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนรัฐสมาชิกในการอนุวัติการตราสารออกใหม่เกี่ยวกับการขจัดความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงานบนพื้นฐานของความแตกต่างในประเทศต่าง ๆ และแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๓๕ ซึ่งรัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพได้ดำเนินการสิ้นสุดและประสบความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งอาเซียนได้คำนึงถึงประเด็นการขจัดความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงานมาโดยตลอด โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ได้เห็นพ้องร่วมกันออกปฏิญญาเวียงจันทน์ว่าด้วยการเปลี่ยนผ่านจากการจ้างงานนอกระบบไปสู่การจ้างงานในระบบ ซึ่งหนึ่งในหลักการสำคัญของปฏิญญาคือ การขจัดการล่วงละเมิดในทุกรูปแบบ
๒.๗ กล่าวถ้อยแถลงในนามประเทศไทยในหัวข้อ Mid-term report on the implementation of the ILO programme of action on decent work in global supply chains ต่อ ที่ประชุม GB 337 ในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เพื่อแสดงจุดยืนของประเทศไทยที่ตระหนักมาอย่างต่อเนื่องว่า ห่วงโซ่อุปทานโลกมีผลกระทบต่อความเจริญทางเศรษฐกิจและการจ้างงานของประเทศ และได้นำเสนอถึงความก้าวหน้าของประเทศไทยว่า รัฐบาลได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องประกาศใช้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) และได้แบ่งปันประสบการณ์ซึ่งกระทรวงแรงงานได้ส่งเสริมให้สถานประกอบการนำมาตรฐานแรงงานไทย (Thai Labour Standard: TLS) ไปปฏิบัติกับแรงงานด้วยความสมัครใจ รวมทั้งได้ร่วมมือกับ ILO จัดทำแนวปฏิบัติ การใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices: GLP) เพื่อส่งเสริมให้นายจ้างปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรม ซึ่งนำไปสู่งานที่มีคุณค่าในที่สุด นอกจากนี้ ปัจจุบันประเทศไทยได้ดำเนินโครงการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย ร่วมกับ ILO OECD และสหภาพยุโรป โดยเน้นที่ภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และภาคการเกษตร
๓. ถ้อยแถลงอื่น ๆ ของผู้แทนรัฐบาลไทยในนามอาเซียน
๓.๑ ถ้อยแถลงในหัวข้อ Proposals for including safe and healthy working conditions in the ILO’s framework of fundamental principles and rights at work ในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เพื่อแสดงการยอมรับในแนวทางของ ILO ที่จะยกระดับมาตรฐานแรงงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานให้เป็นหนึ่งในหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงานของ ILO และได้ย้ำให้ ILO ตระหนักถึง อัตราการให้สัตยาบันที่ต่ำมากต่ออนุสัญญาหลักด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน โดยขอให้ ILO ให้ความช่วยเหลือแก่รัฐสมาชิกที่ประสงค์จะให้สัตยาบันอนุสัญญาดังกล่าว
๓.๒ ถ้อยแถลงในหัวข้อ Progress report on Follow-up to the resolution concerning remaining measures on the subject of Myanmar ในวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เพื่อแสดงท่าทีของอาเซียน ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ว่า รับทราบถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาและความคืบหน้าด้านการพัฒนากฎหมายของรัฐบาลเมียนมา และขอให้ ILO ร่วมกับประชาคมโลกสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือเมียนมาต่อไป โดยเชื่อมั่นว่า การดำเนินงานอย่างมุ่งมั่นต่อไปเช่นนี้ จะทำให้คณะประศาสน์ยุติการเรียกร้องรายงานความคืบหน้าจากรัฐบาลเมียนมาในอนาคต ทั้งนี้ ออสเตรเลียและญี่ปุ่นได้ร่วมเห็นชอบกับถ้อยแถลงด้วย
๓.๓ ถ้อยแถลงในหัวข้อ Mid-term review of the implementation of the Bali Declaration ในวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการนำปฏิญญาบาลีมาปฏิบัติ โดยขอให้ ILO คำถึงว่า องค์ประกอบหลายประการของปฏิญญาบาลีมีความคล้ายคลึงกับองค์ประกอบของปฏิญญาแห่งศตวรรษของ ILO ที่เพิ่งมีการรับรองในปีนี้ จึงขอให้ ILO กำหนดกลยุทธการทำงานสำหรับรัฐสมาชิกเพื่อให้รัฐสมาชิกสามารถนำปฏิญญาทั้งสองฉบับไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยหลีกเลี่ยงการทำงานที่ซ้ำซ้อน
๔. สรุปผลการประชุมที่สำคัญในกลุ่มกิจกรรมองค์กร (Institutional Section)
๔.๑ การกำหนดหัวข้อการประชุมใหญ่ประจำปีขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Conference: ILC)
คณะประศาสน์การได้กำหนดหัวข้อระเบียบวาระทางเทคนิคสำหรับ ILC สมัย ๑๐๙ ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายน ๒๕๖๓ ดังนี้
(ก) วาระการอภิปรายทั่วไปเรื่อง ทักษะฝีมือและการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Skills and lifelong learning)
(ข) วาระการอภิปรายทั่วไป เรื่อง ความไม่เท่าเทียมในโลกแห่งการทำงาน (Inequality and the world of work)
(ค) วาระการอภิปรายหมุนเวียนเรื่อง วัตถุประสงค์เชิงกลยุทธของการคุ้มครองทางสังคม (การประกันสังคม) ภายใต้การติดตามผลปฏิญญาว่าด้วยความยุติธรรมทางสังคม
(ง) วาระพิจารณาเสนอต่อที่ประชุมใหญ่เรื่อง การยกเลิก (abrogation) อนุสัญญาฉบับที่ ๘ ๙ ๑๖ ๕๓ ๗๓ ๗๔ ๙๑ และ ๑๔๕ และการเพิกถอนอนุสัญญาฉบับที่ ๗ ๕๔ ๕๗ ๗๒ ๗๖ ๙๓ ๑๐๙ และ ๑๗๙ ข้อแนะฉบับที่ ๒๗ ๓๑ ๔๙ ๑๐๗ ๑๓๗ ๑๕๓ ๑๕๔ ๑๗๔ ๑๘๖ และ ๑๘๗ ซึ่งเป็นมาตรฐานเกี่ยวกับคนงานทางทะเลและคนประจำเรือที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
คณะประศาสน์การยังได้มีมติให้
(ก) ILC สมัยที่ ๑๑๐ ซึ่งจะจัดขึ้นในปี ๒๕๖๔ พิจารณาเรื่องการถอดถอน (withdraw) อนุสัญญาฉบับที่ ๓๔ ว่าด้วยหน่วยให้บริการจัดหางานโดยคิดค่าธรรมเนียม ค.ศ. ๑๙๓๓
(ข) ที่ประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ ๓๓๘ (มีนาคม ๒๕๖๓) พิจารณาว่า ILC สมัยที่ ๑๑๐ ควรมีหัวข้อระเบียบวาระใดในต่อไปนี้
– การอภิปรายทั่วไปเรื่อง งานที่มีคุณค่า และเศรษฐกิจสมานฉันท์ทางสังคม
– การอภิปรายเพื่อกำหนดมาตรฐาน หรือการอภิปรายทั่วไป เรื่อง การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมจากโลกแห่งการทำงานไปสู่เศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และ/หรือ
– เรื่องอื่นที่เห็นว่าเหมาะสม โดยอ้างอิงจากการประชุมครั้งนี้
(ค) ILC สมัยที่ ๑๑๙ พ.ศ. ๒๕๗๓ พิจารณาเรื่อง การยกเลิกอนุสัญญาฉบับที่ ๙๖ ว่าด้วยหน่วยให้บริการจัดหางานโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย (ฉบับปรับปรุง) ค.ศ. ๑๙๔๙
๔.๒ การติดตามผลข้อมติว่าด้วย การขจัดความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงาน
เนื่องจาก ILC สมัยที่ ๑๐๘ (พ.ศ. ๒๕๖๒) ได้รับรองอนุสัญญาฉบับที่ ๑๙๐ และข้อแนะฉบับที่ ๒๐๖ ว่าด้วย ความรุนแรงและการล่วงละเมิด (Violence and Harassment) ค.ศ. ๒๐๑๙ เพื่อคุ้มครองสิทธิของทุกคนในโลกแห่งการทำงานให้พ้นจากความรุนแรงและการล่วงละเมิด และกำหนดให้ภาครัฐ นายจ้าง ลูกจ้าง และองค์กรของนายจ้างและลูกจ้าง ต่างมีบทบาทในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงและการล่วงละเมิด พร้อมกันนั้น ที่ประชุมใหญ่ของ ILC สมัยที่ ๑๐๘ ยังได้รับรองข้อมติว่าด้วย การขจัดความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงาน ดังนั้น สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศจึงนำเสนอกลยุทธเพื่อให้เกิดผลตามข้อมติดังกล่าว ต่อที่ประชุมในครั้งนี้ ซึ่งกลยุทธที่เสนอมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
ก. มีการให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับที่ ๑๙๐ อย่างแพร่หลาย โดยเร่งให้มีรัฐสมาชิกอย่างน้อย ๒ ประเทศให้สัตยาบันอนุสัญญา เพื่อให้อนุสัญญามีผลใช้บังคับโดยเร็ว และให้สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศเข้าช่วยเหลือรัฐสมาชิกตามการร้องขอในด้านการทบทวนกฎหมายและแนวปฏิบัติภายในประเทศเพื่อเตรียมการก่อนการให้สัตยาบัน พร้อมกับพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำระบบการรายงานการปฏิบัติตามอนุสัญญาแบบ baseline-based reporting system มาใช้กับอนุสัญญาฉบับที่ ๑๙๐ ทั้งนี้ baseline-based reporting system เป็นระบบการรายงานการปฏิบัติตามอนุสัญญาพื้นฐานและอนุสัญญาที่ให้สัตยาบันแล้วในรูปแบบใหม่ที่จัดเก็บในระบบ on line โดยรัฐสมาชิกจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายและ แนวปฏิบัติที่มีทั้งหมดในครั้งแรก และเพิ่มเติมข้อมูลเฉพาะที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเกี่ยวกับกฎหมายและแนวปฏิบัติเหล่านั้นในรอบรายงานต่อ ๆ มา ในแบบรายงาน on line ฉบับเดิม รวมทั้ง มีช่องให้ตอบข้อสังเกต (Observation) หรือคำร้องขอโดยตรง (direct request) ของคณะกรรมการว่าด้วยการอนุวัติอนุสัญญาและข้อแนะของ ILO อยู่ในแบบรายงานฉบับเดียวกัน เพื่อให้การจัดเก็บข้อมูลเป็นระบบและง่ายต่อการติดตามความคืบหน้า ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลองใช้งาน
ข. สนับสนุนภาครัฐ นายจ้าง และลูกจ้าง โดยการริเริ่มปลุกจิตสำนึก การมีวัสดุอุปกรณ์เพื่อส่งเสริม การทำวิจัย และการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ ทั้งนี้ ต้องมีการแก้ไขปัญหาการขาดความเข้าใจในที่มาและต้นตอที่ทำให้เกิดความรุนแรงและการล่วงละเมิด มีการประเมินข้อมูลที่เป็นปัจจุบันเพื่อนำไปสร้างเครื่องมือตรวจวัดความรุนแรงและการล่วงละเมิดและมีการรวบรวมข้อมูลเปรียบเทียบกฎหมายเพื่อช่วยสร้างความเข้มแข็งให้รัฐสมาชิก มีการริเริ่มหลักสูตรการอบรมที่เกี่ยวข้อง มีการส่งเสริมอนุสัญญาที่มีส่วนเสริมให้เกิดการขจัดความรุนแรงและการล่วงละเมิด
ค. ส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือระหว่างประเทศ และการระดมทรัพยากร โดยการทำให้องค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ให้ความสนใจต่ออนุสัญญาฉบับที่ ๑๙๐ และข้อแนะฉบับที่ ๒๐๖ และส่งเสริมให้องค์กรต่าง ๆ ดังกล่าวเกิดความเป็นหุ้นส่วนและเข้าร่วมในการขจัดความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงาน นอกจากนั้น การหาแหล่งเงินสำหรับดำเนินกลยุทธนี้ต้องอยู่ในแผนงานภาพรวมของ ILO และให้บรรจุประเด็นความรุนและการล่วงละเมิดเอาไว้ในการจัดทำแผนงานและงบประมาณในอนาคตด้วย
คณะประศาสน์การได้มีมติให้
(ก) ผู้อำนวยการใหญ่ ILO ได้คำนึงถึงกลยุทธและแนวทางดังกล่าวในการปฏิบัติตามแผนงานและงบประมาณประจำปี ๒๕๖๓-๒๕๖๔ ในการจัดทำกรอบงานเชิงกลยุทธฉบับต่อไป ในการเสนอแผนงานและงบประมาณในอนาคต และในการจัดสรรงบประมาณพิเศษ
(ข) ผู้อำนวยการใหญ่ ILO ทบทวนผลการนำกลยุทธมาปฏิบัติ และรายงานให้คณะประศาสน์การทราบอย่างสม่ำเสมอ
๔.๓ การติดตามผลข้อมติเรื่อง ปฏิญญาแห่งศตวรรษของ ILO เพื่ออนาคตของงาน: ข้อเสนอให้รวมประเด็นสภาพการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ เข้าไว้ในกรอบงานของ ILO ด้านหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน
สืบเนื่องจาก ILC สมัยที่ ๑๐๘ (พ.ศ. ๒๕๖๒) ได้รับรองข้อมติเรื่อง ปฏิญญาแห่งศตวรรษของ ILO เพื่ออนาคตของงาน ซึ่งเรียกร้องให้คณะประศาสน์การพิจารณาโดยเร็วที่สุดถึงข้อเสนอให้รวมประเด็นสภาพการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ เข้าไว้ในกรอบงานของ ILO ด้านหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศจึงเสนอ Road map ขั้นตอนการทำงานเพื่อเสนอข้อมติดังกล่าว ดังนี้
– การประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ ๓๓๘ (มีนาคม ๒๕๖๓): พิจารณาประเด็นปัญหาสำคัญต่าง ๆ ที่ได้รับฟังจากการอภิปรายของ Committee of the Whole ในการประชุม ILC 108 และจากคณะประศาสน์การ โดยอาจพิจารณาถึงประเด็นปัญหาว่า ควรยอมรับในสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพหรือไม่ การทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพควรได้รับการส่งเสริมและยอมรับในระดับเดียวกับหลักการและสิทธิขั้นพื้นในการทำงานทั้ง ๔ หลักการที่มีอยู่ในปัจจุบันหรือไม่ การระบุอนุสัญญาที่ควรอยู่ภายในหลักการใหม่ อัตราการให้สัตยาบันและการแสดงออกให้เห็นถึงการยอมรับในหลักการที่ ๕ ของหลักการและสิทธิขั้นพื้นในการทำงาน การเตรียมการเพื่อการจัดทำรายงานการปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ให้สัตยาบันแล้วภายใต้มาตรา ๒๒ ของธรรมนูญ ILO และรายงานการติดตามผลปฏิญญา ปี ค.ศ. ๑๙๙๘ ในกรณีที่ยังไม่ให้สัตยาบันภายใต้มาตรา ๑๙ ของธรรมนูญ ILO
– การประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ ๓๔๐ (พฤศจิกายน ๒๕๖๓): พิจารณาขั้นตอนการดำเนินงานเกี่ยวกับประเด็นปัญหาสำคัญต่าง ๆ และพิจารณารูปแบบที่จะเสนอเพื่อขอมติจาก ILC รวมถึงการบรรจุหัวข้อระเบียบวาระทางเทคนิคสำหรับ ILC สมัยที่ ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๕๖๔)
– การประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ ๓๔๑ (มีนาคม ๒๕๖๔): พิจารณาองค์ประกอบของร่างเอกสารผลลัพธ์ที่จะเสนอเข้าสู่การพิจารณาใน ILC สมัยที่ ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๕๖๔) และการเตรียมการสำหรับการอภิปรายของที่ประชุมใน ILC
– ILC สมัยที่ ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๕๖๔): พิจารณาเอกสารผลลัพธ์เกี่ยวกับการรวมประเด็นสภาพการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ เข้าไว้ในกรอบงานของ ILO ด้านหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน
ทั้งนี้ Road map ข้างต้นเป็นเพียงเครื่องมือในการวางแผนการทำงาน ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเห็นของคณะประศาสน์การ โดยคณะประศาสน์การอาจให้มีการปรึกษาหารือระหว่างดำเนินการตาม Road map และอาจพิจารณาให้มีวาระการนำเสนอเอกสารในการประชุม ILC
คณะประศาสน์การมีมติให้ความเห็นชอบต่อ road map ดังกล่าว ซึ่งในภายหน้า คณะประศาสน์การอาจมีความเห็นให้ปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม โดยพิจารณาจากความคืบหน้าของการดำเนินงาน
๔.๔ รายงานผลกลางเทอมเรื่อง การปฏิบัติตามแผนงาน ILO ด้านงานที่มีคุณค่าในห่วงโซ่อุปทานโลก
สืบเนื่องจาก ILC สมัยที่ ๑๐๕ (พ.ศ. ๒๕๕๙) ได้รับรองข้อมติเรื่อง งานที่มีคุณค่าในห่วงโซ่อุปทานโลก ต่อมาในเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ คณะประศาสน์การได้พิจารณารับรองแผนงานปฏิบัติสำหรับ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ เพื่อรองรับข้อมติดังกล่าว ซึ่งได้มีการดำเนินงานตามแผนงานดังกล่าวไปบ้างแล้ว สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศจึงได้จัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามแผนงานด้านงานที่มีคุณค่าในห่วงโซ่อุปทานโลก รอบกลางเทอม เสนอต่อที่ประชุมในครั้งนี้ ซึ่งแผนปฏิบัติงานฯ มี ๕ กรอบงาน คือ (ก) การเผยแพร่ และสร้างความรู้ (ข) การสร้างขีดความสามารถ (ค) การให้คำแนะนำที่มีประสิทธิภาพด้านงานที่มีคุณค่าและห่วงโซ่อุปทานโลก (ง) การให้ความช่วยเหลือทางวิชาการและคำแนะนำด้านนโยบาย และ (จ) ความเป็นหุ้นส่วนและความเชื่องโยงของนโยบาย โดยใน ๒ ปีแรกสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศเริ่มดำเนินงานตามแผนเฉพาะในกรอบงาน (ก) และ (ข) ก่อน ส่วนแผนในกรอบงาน (ค)-(จ) นั้นจะเริ่มดำเนินงานในช่วง ๒ ปีหลัง ทั้งนี้ สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้ออกแบบกลวิธีสำหรับการสร้างความรู้และการสร้างขีดความสามารถในภาคการผลิตที่เป็นห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งประกอบด้วยเทคนิคการดำเนินงานหลาย ๆ อย่างประกอบเข้าด้วยกันเรียกว่า “One ILO”
การดำเนินงานที่ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีภายใต้กรอบงานการสร้างขีดความสามารถ คือ การใช้กลวิธี “One ILO” ในภาคเสื้อผ้าสำเร็จรูปในประเทศเอธิโอเปียและอินเดีย ภาคเสื้อผ้าสำเร็จรูปในเอธิโอเปียและอุตสาหกรรมหินธรรมชาติในอินเดีย งานเหมือนแร่ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก นอกจากนั้น ยังได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อสร้างขีดความสามารถด้านการตรวจความปลอดภัยในการทำงานเชิงรุกให้กับประเทศเลโซโทในภาคการผลิตเครื่องนุ่งห่ม และประเทศโคลัมเบียในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ทั้งยังได้ดำเนินกิจกรรมการสร้างขีดความสามารถในภาพรวม ซึ่งครอบคลุมไปถึงงานที่เป็นห่วงโซ่อุปทานโลกด้วย ได้แก่ การส่งเสริมงานที่มีคุณค่าสำหรับคนงานผู้ไม่เป็นที่รับรู้ของสังคมในเอเชียใต้ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๓) กลยุทธแบบบูรณาการด้านหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๖) และกิจกรรมตามแผนงาน the Better Work, SCORE and Vision Zero Fund programmes พร้อมกันนั้น สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศยังได้ริเริ่มความเป็นหุ่นส่วนการดำเนินงานกับหลาย ๆ องค์กร เช่น UN Alliance for Sustainable Fashion หรือ UN E-Waste Coalition เป็นต้น
ภายใต้กรอบงานการเผยแพร่และสร้างความรู้นั้น สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศมีความคืบหน้าอย่างมากด้านการนำระบบการจำแนกประเภทอุตสาหกรรมมาสร้างระเบียบวิธีการจัดผังขั้นตอนการทำงานในอุสตหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นห่วงโซ่อุปทานโลกในประเทศเม็กซิโก มีการพัฒนาวิธีประเมินปัจจัยเสี่ยงต่อการใช้แรงงานเด็ก แรงงานบังคับ และการค้ามนุษย์ที่เชื่อมโยงถึงภาคการผลิตที่เป็นห่วงโซ่อุปทานโลก มีการจัดวิธีการเชิงกลยุทธเพื่อเชื่อมโยงความช่วยเหลือทางวิชการและการสร้างความรู้เข้าไว้ด้วยกัน และมีการจัดทำงานวิจัยต่าง ๆ ในประเด็นแนวปฏิบัติทางธุรกิจและการจัดซื้อจัดจ้างและผลกระทบที่มีต่อสภาพการทำงานในกิจการที่เป็นห่วงโซ่อุปทานโลก
การดำเนินงานต่อไปของสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศจะมุ่งที่การเผยแพร่แผนผังงานที่มีคุณค่าเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับทั้งจุดด้อยและโอกาสของการผลิตที่เป็นห่วงโซ่อุปทานในบางประเภทกิจการและบางประเทศ การดำเนินแผนปฏิบัติงานเพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงสถิติและสร้างขีดความสามารถให้กับสำนักงานสถิติแห่งชาติของรัฐสมาชิก
คณะประศาสน์การรับทราบผลการดำเนินงานดังกล่าว และมีมติให้สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศดำเนินงานตามแผนการต่อไป โดยคำนึงถึงผลการทบทวนเชิงสังเคราะห์ใด ๆ ที่มี เพื่อให้บรรลุผลสูงสุดก่อนการจัดทำรายงานฉบับสุดท้ายเสนอต่อที่ประชุมคณะประศาสน์การในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
๔.๕ รายงานความก้าวหน้าประจำปีด้านแผนงานความร่วมมือทางวิชาการระหว่างรัฐบาลกาตาร์และ ILO
รัฐบาลกาตาร์ถูกร้องเรียนในการประชุม ILC สมัยที่ ๑๐๓ พ.ศ. ๒๕๕๗ ว่าไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ให้สัตยาบันแล้ว ๒ ฉบับ คือ (ก) อนุสัญญาฉบับที่ ๒๙ เนื่องจากระบบการจ้างงานของกาตาร์เอื้อให้เกิดการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน การใช้แรงงานบังคับ และสัญญาจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทั้งยังแรงงานจำนวนมากทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างและ (ข) อนุสัญญาฉบับที่ ๘๑ เนื่องจากกาตาร์ขาดการตรวจแรงงานที่เป็นระบบ ยุติธรรม และเพียงพอ ต่อการคุ้มครองแรงงานต่างด้าว รวมถึงการที่แรงงานต่างด้าวไม่สามารถเข้าถึงกลไก การร้องเรียนได้เมื่อถูกละเมิดสิทธิ ต่อมาที่ประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ ๓๓๑ (ตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๖๐) มีมติสนับสนุนแผนงานความร่วมมือทางวิชาการระหว่างรัฐบาลกาตาร์และ ILO เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า รัฐบาลกาตาร์ปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ให้สัตยาบันแล้วและเคารพต่อหลักการและเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการทำงาน โครงการมีระยะเวลาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๓ สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้นำเสนอรายงานฉบับแรกต่อคณะประศาสน์การไปแล้วในการประชุมสมัยที่ ๓๓๔ (ตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๖๑)
คณะประศาสน์การมีมติรับทราบถึงรายงานความคืบหน้าฉบับที่ ๒ ซึ่งครอบคลุมระยะเวลาดำเนินแผนงานตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ – กลางเดือนตุลาคม ๒๕๖๒ ในประเด็นตาม ๕ เสาหลักของแผนงาน ดังนี้
๑. การปรับปรุงการจ่ายค่าจ้าง: กาตาร์อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อออกกฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งจะเป็นกฎหมายฉบับแรกด้านการคุ้มครองค่าจ้างขั้นต่ำโดยไม่เลือกปฏิบัติของกาตาร์ มีการสร้างความเข้มแข็งให้กับการทำงานของฝ่ายระบบคุ้มครองค่าจ้างของ Ministry of Administrative Development, Labour and Social Affairs (MADLSA) มีการจัดตั้งกองทุนประกันและส่งเสริมคนงาน เพื่อสำรองจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายให้แก่คนงาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการยุติข้อพิพาท
๒. การตรวจแรงงาน และระบบอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน: มีการกำหนดนโยบายแห่งชาติด้านการตรวจแรงงาน มีการจัดตั้งฝ่ายกลยุทธการตรวจแรงงานขึ้นในกรมการตรวจแรงงาน มีการพัฒนาระบบจัดเก็บข้อมูลด้าน OSH อย่างรอบด้าน ดำเนินการวิจัยเรื่อง ภาวะความเครียดจากความร้อน (heat stress) เพื่อหาหนทางในการบรรเทาภาวะดังกล่าว
๓. ระบบการทำสัญญาจ้างงานเพื่อมาใช้แทนที่ระบบ kafala การรับสมัครงานและเงื่อนไขการจ้างงาน: ระบบ kafala หรือระบบอุปถัมภ์แรงงาน เป็นระบบที่รัฐบาลกาตาร์ใช้กับแรงงานต่างด้าวที่ไร้ทักษะ ภายใต้ระบบนี้ แรงงานต่างด้าวต้องมีชาวกาตาร์รับเป็นผู้อุปถัมภ์ ซึ่งส่วนใหญ่คือ นายจ้าง เพื่อดำเนินการขอใบอนุญาตให้อยู่อาศัย (residence permit) และใบอนุญาตทำงาน (work permit) ให้กับตน โดยสัญญาจ้างงานมีอายุสูงสุดไม่เกิน ๕ ปี ในระหว่างที่สัญญาจ้างยังไม่หมดอายุ นั้น การเดินทางออกนอกประเทศ การเปลี่ยนนายจ้าง และการลาออกจากงาน ต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้อุปถัมภ์ ในขณะเดียวกัน ผู้อุปถัมภ์หรือนายจ้างสามารถเลิกจ้าง หรือส่งลูกจ้างไปทำงานกับนายจ้างรายใหม่ได้ โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง ขณะนี้ กาตาร์อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อออกคำสั่งกระทรวงเกี่ยวกับการอนุญาตให้คนงานออกนอกประเทศได้ชั่วคราวหรือถาวร ระหว่างยังไม่หมดสัญญาจ้าง ซึ่งคาดว่าจะสำเร็จภายในปีนี้ ทำการศึกษาเพื่อนำผลมากำหนดนโยบายด้านการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวในตลาดแรงงานท้องถิ่น อันจะช่วยให้คนงาน มีเสรีภาพในการเดินทางและเปลี่ยนงาน มีการริเริ่มจัดทำสื่อภาพเคลื่อนไหวเพื่อบอกสิทธิคนงานในภาษาต่าง ๆ เผยแพร่แนวปฏิบัติที่ดีด้านการจ้างงานคนงานทำงานบ้าน ดำเนินโครงการนำร่องด้านการคัดเลือกคนงานที่เป็นธรรมร่วมกับบังคลาเทศ จัดคณะทำงานซึ่งประกอบด้วย ILO และภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางแนวทางเพิ่มเติมให้กับศูนย์ออกวีซ่ากาตาร์ในประเทศต้นทางของแรงงานต่างด้าว จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการให้กับเจ้าหน้าที่ของ MADLSA และองค์กรสาธารณะอื่น ๆ เพื่อรู้ถึงวิธีการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพกับคนงานต่างด้าว จัดการประชุมหารือกับสื่อสารมวลชนเรื่อง จริยธรรมของสื่อและการรายงานข่าวเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวตามความเป็นจริง
๔. แรงงานบังคับ: MADLSA และคณะกรรมการต่อต้านการค้ามนุษย์แห่งชาติ ได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ ร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับนโยบายแห่งชาติด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ ๒๕๖๐-๒๕๖๕ เช่น การศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายภายในประเทศกับพิธีสารปี ๒๐๑๔ ส่วนเสริมอนุสัญญาฉบับที่ ๒๙ การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับองค์กร Migrant Forum เรื่องการบริหารจัดการที่พักพิงสำหรับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ การอบรมพนักงานตรวจแรงงานถึงแนวปฏิบัติในกรณีตรวจพบผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ โดยจะจัดการประชุมหารือร่วมกับผู้พิพากษาในโอกาสต่อไป
๕. การส่งเสริมเสียงจากคนงาน: กาตาร์ออกกฎหมายฉบับใหม่เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๒ เรื่อง เงื่อนไขและวิธีปฏิบัติในการเลือกตั้งผู้แทนคนงาน เพื่อให้สิทธิคนงานในการเลือกตั้งผู้แทนของตนและในการทำหน้าที่เป็นผู้แทนคนงาน โดยกฎหมายฉบับนี้สอดคล้องกับอนุสัญญาฉบับที่ ๑๓๕ ว่าด้วยผู้แทนของคนงาน ค.ศ. ๑๙๗๑ ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมใน ๕ ประเภทกิจการของผู้รับเหมาช่วง (ทำความสะอาด บริการอาหาร ผลิตอาหาร การจัดการอำนวยความสะดวก บริการทั่วไป) เพื่อทำการเลือกตั้งผู้แทนคนงาน โดยได้เลือกตั้งผู้แทนคนงานมาจำนวนเกือบ ๓๐ คน เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้แทนของคนงานจำนวน ๓,๐๐๐ คน นอกจากกิจการรับเหมาช่วงแล้ว ยังมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมใน Qatar International Cables Company เพื่อจัดการเลือกตั้งผู้แทนคนงาน โดยได้ผู้แทนคนงานจำนวน ๓ คน ทำหน้าที่เป็นผู้แทนให้กับคนงานจำนวน ๒๐๐ คนในบริษัท จัดการฝึกอบรมให้แก่ผู้แทนคนงานและฝ่ายบริหาร เพื่อแก้ไขขั้นตอนการยื่นคำร้องทุกข์ให้สอดคล้องกับข้อแนะฉบับที่ ๑๓๐ ว่าด้วยการตรวจสอบ การร้องทุกข์ ค.ศ. ๑๙๖๗ ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือและปลูกจิตสำนึกกับภาคส่วนต่าง ๆ ในประเด็นที่เกี่ยวข้อง
๔.๖ การติดตามผลการปฏิบัติตามมติคณะประศาสน์การ สมัยที่ ๓๓๔ เพื่อส่งเสริมข้อตกลงไตรภาคีแห่งชาติ ณ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้เป็นไปตาม road map: รายงานความคืบหน้าของรัฐบาลกัวเตมาลา
สืบเนื่องจาก ILC สมัยที่ ๑๐๑ เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕ องค์กรผู้แทนฝ่ายลูกจ้างได้ยื่น คำร้องต่อ ILO กล่าวหาว่า รัฐบาลกัวเตมาลาไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ให้สัตยาบันแล้วฉบับที่ ๘๗ ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว ค.ศ. ๑๙๔๗ ด้วยเหตุมีนักสหภาพแรงงานถูกฆาตกรรมจำนวน ๕๘ ราย และเสียชีวิตในเหตุไม่สงบภายในประเทศจำนวน ๑๖ ราย โดยไม่มีความคืบหน้าในการเอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ ต่อมาที่ประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ ๓๓๔ (ตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๖๑) ได้มีมติให้ยุติการดำเนินการติดตามผลตามคำร้องเรียน เนื่องจาก รัฐบาลกัวเตมาลามีความคืบหน้าด้านการติดตามและดำเนินคดีผู้กระทำความผิด มีการพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้อง มีการจัดทำข้อตกลงไตรภาคีแห่งชาติ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐ มีการกำหนด road map เพื่อให้บรรลุตามข้อตกลงดังกล่าว มีการจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคีแห่งชาติด้านการแรงงานสัมพันธ์และเสรีภาพในการสมาคม ตลอดจนคณะอนุกรรมการไตรภาคีด้านต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการดำเนินงานตาม road map ทั้งนี้ คณะประศาสน์การยังมีมติให้รัฐบาลกัวเตมาลารายงานผลการปฏิบัติตาม road map เพื่อให้บรรลุตามข้อตกลงไตรภาคีแห่งชาติต่อที่ประชุมคณะประศาสน์การที่จัดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๒ และ พ.ศ. ๒๕๖๓
ในการประชุมครั้งนี้ สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้นำเสนอประเด็นโดยสรุปในรายงานของรัฐบาลกัวเตมาลา ซึ่งมีเนื้อหาสาระสำคัญเกี่ยวกับ
– ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการไตรภาคีแห่งชาติด้านการแรงงานสัมพันธ์และเสรีภาพในการสมาคม คณะอนุกรรมการด้านกฎหมายและนโยบายแรงงาน คณะอนุกรรมการด้านไกล่เกลี่ยและยุติข้อพิพาทแรงงาน และคณะอนุกรรมการด้านการปฏิบัติตาม road map
– ความคืบหน้าการติดตามและดำเนินคดีผู้กระทำความผิด กรณีนักสหภาพแรงงานถูกฆาตกรรมและทำร้าย
– ผลการดำเนินตามกลไกการรับเรื่องร้องทุกข์
– ข้อสังเกตจากองค์กรผู้แทนแรงงานในกัวเตมาลา
คณะประศาสน์การมีมติรับทราบรายงานของรัฐบาลกัวเตมาลาและข้อสังเกตขององค์กรผู้แทนแรงงานในกัวเตมาลา และย้ำให้รัฐบาลกัวเตมาลารายงานผลความคืบหน้าครั้งต่อไปต่อที่ประชุมคณะประศาสน์การที่จัดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๓
๔.๗ รายงานความคืบหน้าการติดตามผลข้อมติเกี่ยวกับมาตรการที่เหลือในเมียนมา
สืบเนื่องจาก เมียนมาถูกร้องเรียนโดยผู้แทนกลุ่มลูกจ้างว่าละเมิดอนุสัญญาที่ให้สัตยาบันแล้วฉบับที่ ๒๙ ว่าด้วยแรงงานบังคับ ค.ศ. ๑๙๓๐ เนื่องจากรัฐบาลละเลยให้เกิดการบังคับใช้แรงงานนักโทษและมีการเกณฑ์เด็กเป็นทหาร ซึ่งที่ประชุม GB สมัยที่ ๒๖๘ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ มีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการไต่สวน (Commission of Inquiry: COI) เพื่อติดตามตรวจสอบและให้ข้อแนะนำในการแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานบังคับในเมียนมา และที่ประชุมใหญ่ ILC สมัยที่ ๑๐๒ พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้รับรองข้อมติเกี่ยวกับมาตรการที่เหลือในเมียนมา เพื่อติดตามว่า มีประเด็นใดที่รัฐบาลเมียนมาได้ปฏิบัติจนมีความคืบหน้าและไม่จำเป็นต้องดำเนินการมาตรการตามข้อแนะนำของ COI แล้ว
ในการประชุมครั้งนี้ สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้นำเสนอรายงานคืบหน้าในเมียนมาดังนี้
– ความคืบหน้าในการขจัดการใช้แรงงานบังคับ: ในปี ๒๕๖๒ ยังคงมีคำร้องเรียนเพิ่มเติมเรื่องการใช้แรงงานบังคับจำนวน ๑๐๘ คำร้อง ซึ่งมีเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับแต่ปี ๒๕๕๙ ทั้งยังมีรายงานของ the Independent International Fact-Finding on Myanmar ที่แสดงถึงการบังคับใช้แรงงานกลุ่มชนเผ่าโดยกองทัพ ข้อจำกัดการเดินทางภายในประเทศส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อการทำงานของ ILO รัฐบาลเสนอให้มีกลไกการร้องเรียนของประเทศในการประชุมเจรจาไตรภาคีแห่งชาติ ซึ่ง ILO เสนอความเห็นว่า ควรให้ความสำคัญกับการทำให้กลไกนี้มีความน่าเชื่อถือ รัฐบาลได้กำหนดแผนปฏิบัติการภายใต้ Decent Work Country Programme (DWCP)
– การปฏิรูปกฎหมาย: รัฐบาลออกฎหมายว่าด้วยสิทธิเด็กเมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๒ ซึ่งบัญญัติเกี่ยวกับอายุขั้นต่ำในการจ้างงาน การทำงานอันตราย และรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็ก รัฐสภาเห็นชอบต่อการแก้ไขกฎหมายระงับข้อพิพาทแรงงาน ที่ได้ยกเลิกบทลงโทษจำคุก แต่คำนิยามของ “คนงาน” ยังคงแคบเกินไป
– การตั้งข้อหาต่อนักกิจกรรมสหภาพแรงงาน: เดือนกุมภาพพันธ์ ๒๕๖๒ มีนักกิจกรรมสหภาพแรงงานจำนวน ๘ คน ถูกตั้งข้อหาตามกฎหมายการชุมนุมและการเดินขบวนโดยสันติ เนื่องจากมีส่วนร่วมในการประท้วง ขณะนี้เรื่องอยู่ในชั้นศาล และคาดว่าจะมีการพิพากษาในเดือนตุลาคม ๒๕๖๒
จากการติดตามผลสรุปได้ว่า (ก) รัฐบาลเมียนมามีความร่วมมือที่ดีกับ ILO ภายใต้กรอบงาน DWCP มีการผ่านกฎหมายว่าด้วยสิทธิเด็ก ทั้งยังมีการเสนอให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับที่ ๑๓๘ ว่าด้วยอายุขั้นต่ำ ค.ศ. ๑๙๗๓ (ข) รัฐบาลมีเจตนาที่จะเข้าดำเนินการตามกลไกการร้องเรียนเรื่องแรงงานบังคับตามที่เสนอไว้ใน DWCP อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงต้องพัฒนาขีดความสามารถทางกฎหมายและแนวปฏิบัติให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด (ค) ILO ยังคงได้รับคำร้องเรียนใหม่เพิ่มเติม จึงขอให้เมียนมายังคงให้ข้อมูล ILO ต่อไปถึงผลของการดำเนินการตามคำร้องเรียนต่าง ๆ และทำให้มั่นใจได้ถึงขั้นตอนการสอบข้อเท็จจริงที่เท่าเทียม ไม่ส่งผลร้าย และเป็นธรรม และมีการคุ้มครองผู้ร้องเรียน และ (ง) จำเป็นต้องมีการดำเนินการกับคำร้องเรียนที่ค้างอยู่กับ ILO และการแจ้งเรื่องการใช้แรงงานบังคับที่มีถึง ILO
คณะประศาสน์การมีมติ ดังนี้
(ก) รับทราบควาบคืบหน้าในการดำเนินการของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนปฏิบัติการด้านแรงงานบังคับ การออกกฎหมายว่าด้วยสิทธิเด็ก การเสนอให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับที่ ๑๓๘ และสนับสนุนให้รัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการดำเนินความร่วมมือกับ ILO และภาคส่วนทางสังคม เพื่อปฏิบัติตาม DWCP อย่างเต็มที่
(ข) ให้รัฐบาลปรึกษาหารือกับหุ้นส่วนทางสังคมผ่านทางการประชุมเจรจาไตรภาคีในระดับประเทศ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับกลไกการเรื่องการร้องเรียนของประเทศ โดยให้รวมถึงมาตรการการคุ้มครองผู้เสียหาย การเข้าจัดการและการขจัดแรงงานบังคับ
(ค) ให้รัฐบาลยังคงดำเนินขั้นตอนปฏิบัติเพื่อให้ ILO สามารถรับคำร้องเรียนต่อไปได้ และเพิ่มความร่วมมือกับ ILO ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาตามคำร้องเรียน จนกว่าจะมีการใช้กลไกการร้องเรียนของประเทศอย่างเหมาะสม
(ง) ให้ผู้อำนวยการใหญ่รายงานความคืบหน้าการจัดทำกลไกการร้องเรียนของประเทศ ตาม DWCP เสนอต่อคณะประศาสน์การ
(จ) รับทราบการดำเนินงานเพื่อปฏิรูปกฎหมายแรงงาน และขอให้พยายามต่อไปเพื่อให้มั่นใจได้ว่ามีการเจรจาทางสังคมในรูปแบบไตรภาคีในขั้นตอนการปฏิรูปกฎหมาย และมีการคำนึงถึงความเห็นขององค์กรผู้แทนของนายจ้างและของคนงานอย่างเต็มที่
(ฉ) มีความกังวลเรื่องการตั้งข้อหาตามกฎหมายการชุมนุมและการเดินขบวนโดยสันติ กับนักกิจกรรมสหภาพแรงงานทั้ง ๘ คน และเรื่อง การใช้กฎหมายดังกล่าวโดยเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อเป็นหนทางในการปฏิเสธการใช้สิทธิด้านเสรีภาพในการสมาคมโดยสันติ
(ช) ขอให้รัฐบาลนำผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินงานด้านเสรีภาพในการสมาคม การขจัดแรงงานบังคับ และการใช้กลไกการร้องเรียนของประเทศที่มีประสิทธิภาพ มารายงานต่อที่ประชุมคณะประศาสน์การ เดือนมีนาคม ๒๕๖๓
๔.๘ รายงานฉบับที่ ๓๙๑ ของคณะกรรมการว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคม
คณะประศาสน์การมีมติรับรองรายงานฉบับที่ ๓๙๑ ของคณะกรรมการว่าด้วยเสรีภาพใน การสมาคม (Committee on Freedom of Association: CFA) ซึ่งที่มีหน้าที่ติดตามตรวจสอบข้อร้องเรียนการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการสมาคมในรัฐสมาชิก แม้ว่าประเทศนั้นจะยังไม่ได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับที่ ๘๗ หรือ ๙๘ ทั้งนี้ ในรายงานมีส่วนหนึ่งระบุว่า CFA มีความเห็นให้ยุติการติดตามข้อร้องเรียนหมายเลข ๓๑๙๖ กรณี สภาองค์การลูกจ้างแรงงานสัมพันธ์แห่งประเทศไทย (สภ.รส.) ยื่นคำร้องกล่าวหารัฐบาลไทยละเมิดสิทธิแรงงานในบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยการปล่อยให้นายจ้างเลิกจ้างผู้นำแรงงานและพวกโดยไม่เป็นธรรม และไม่ยอมดำเนินการกับนายจ้างที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ให้นายจ้างรับผู้นำแรงงานและพวกกลับเข้าทำงานและจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่ง CFA มีความเห็นให้ยุติการติดตาม เนื่องจากศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาออกมาแล้วเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๖๑ ว่า ให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายให้แก่คนงานของบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ทั้ง ๙ คนที่ถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม โดยให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เป็นผู้พิจารณากำหนดจำนวนค่าเสียหาย และคำพิพากษาดังกล่าวถือเป็นที่สุดแล้ว
๔.๙ รายงานของผู้อำนวยการใหญ่
คณะประศาสน์การมีมติรับทราบรายงานของผู้อำนวยการใหญ่ ดังนี้
– รัฐสมาชิก ILO มีจำนวนเท่าเดิม คือ ๑๘๗ ประเทศ
– นับแต่ต้นปี ๒๕๖๒ จนถึงปัจจุบัน ผู้อำนวยการใหญ่ได้จดทะเบียนการให้สัตยาบันอนุสัญญาไปแล้วจำนวน ๔๔ ครั้ง มีตราสารจำนวน ๔๔ ฉบับที่เริ่มมีผลบังคับใช้
– มีรัฐสมาชิกให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับที่ ๑๘๒ จำนวน ๕ ประเทศ เหลือรัฐสมาชิกที่ยังไม่ให้สัตยาบันอนุสัญญานี้เพียงประเทศเดียว (คงเหลือประเทศตองกา ซึ่งเป็นรัฐสมาชิกล่าสุดของ ILO เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙)
– ในปี ๒๕๖๒ มีรัฐสมาชิกให้สัตยาบันพิธีสารปี ๒๐๑๔ ส่วนเสริมอนุสัญญาฉบับที่ ๒๙ จำนวน ๑๓ ประเทศ รวมเป็นทั้งหมด ๔๐ ประเทศ
– นับแต่ได้นำเสนอรายงานต่อที่ประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ ๓๓๕ (มีนาคม ๒๕๖๒) จนถึงวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๒ ได้รับจดทะเบียนการให้สัตยาบันอนุสัญญาจำนวน ๓๖ ครั้ง (ซึ่งรวมถึงการจดทะเบียบการให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับที่ ๑๘๘ ว่าด้วยงานในภาคประมง ค.ศ. ๒๐๐๗ ของประไทยไทยเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ ด้วย)
๔.๑๐ สถานะของการให้สัตยาบันตราสาร ค.ศ. ๑๙๘๖ เพื่อแก้ไขธรรมนูญ ILO และการติดตามผลวรรค ๓ แห่งข้อมติเรื่อง ปฏิญญาแห่งศตวรรษของ ILO เพื่ออนาคตของงาน
ตราสาร ค.ศ. ๑๙๘๖ เพื่อแก้ไขธรรมนูญ ILO มีวัตถุประสงค์หลัก ๔ ประการ คือ (ก) ยกเลิกสมาชิกถาวรกลุ่มประเทศที่มีความสำคัญทางอุตสาหกรรม ๑๐ ประเทศ และให้สมาชิกคณะประศาสน์มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด (ข) ให้คณะประศาสน์การเสนอชื่อผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ ILO ต่อที่ประชุมใหญ่ประจำปีขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ เพื่อพิจารณารับรอง (ค) เปลี่ยนแปลงระบบการออกเสียงในที่ประชุมใหญ่ ILC เพื่อให้รัฐสมาชิกที่ไม่มีผู้แทนอยู่ร่วมในการประชุมใหญ่มีสิทธิออกเสียงได้ และ (ง) ร่างตราสารเพื่อแก้ไขธรรมนูญ ILO ในส่วนที่เป็นบทบัญญัติอันเป็นหลักการต้องได้รับการรับรองจากรัฐสมาชิก ILO ทั้งหมดอย่างน้อย ๓ ในห้า จึงมีสถานะเป็นตราสารเพื่อให้รัฐสมาชิกพิจารณาให้สัตยาบันต่อไป
นอกจากนั้น ILC สมัยที่ ๑๐๘ (พ.ศ. ๒๕๖๒) ได้รับรองปฏิญญาแห่งศตวรรษของ ILO ซึ่งมีบทบัญญัติบางส่วนสะท้อนถึงเจตนารมย์ของบทแก้ไข ปี ๑๙๘๖ ที่ประชุมใหญ่ฯ ยังได้รับรองข้อมติปฏิญญาแห่งศตวรรษสำหรับอนาคตของงานที่เรียกร้องให้มีการให้สัตยาบันบทแก้ไขปี ๑๙๘๖ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ในเร็ววัน
ทั้งนี้ ตราสาร ค.ศ. ๑๙๘๖ ฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อมีการให้สัตยาบันจากรัฐสมาชิก ILO ทั้งหมดอย่างน้อย ๒ ในสาม (คิดเป็น ๑๒๕ ประเทศ และประเทศไทยได้ให้สัตยาบันแล้วเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๓) โดยจำนวนนี้ต้องเป็นรัฐสมาชิกจากกลุ่มประเทศที่มีความสำคัญทางอุตสาหกรรมอย่างน้อย ๕ ประเทศ
ในการประชุมครั้งนี้ ผู้อำนวยการใหญ่นำเสนอความคืบหน้าด้านการส่งเสริมการให้สัตยาบันบทแก้ไขธรรมนูญว่า จนถึงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๒ มีรัฐสมาชิกให้สัตยาบันบทแก้ไขจำนวน ๑๑๐ ประเทศ เป็นรัฐสมาชิกในกลุ่มประเทศที่มีความสำคัญทางอุตสาหกรรมจำนวน ๒ ประเทศ คือ อินเดีย และอิตาลี ขณะนี้ยังขาดการให้สัตยาบันจากรัฐสมาชิกจำนวน ๑๕ ประเทศ โดยเป็นรัฐสมาชิกในกลุ่มประเทศที่มีความสำคัญทางอุตสาหกรรมอย่างน้อย ๓ ประเทศ เพื่อทำให้บทแก้ไขปี ๑๙๘๖ มีผลบังคับใช้ และผู้อำนวยการใหญ่ยังได้นำเสนอว่า วัตถุประสงค์หลักของบทแก้ไขปี ๑๙๘๖ คือ การยกเลิกสมาชิกคณะประศาสน์การที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ได้ปรากฏอยู่ในอารัมภบทของปฏิญญาแห่งศตวรรษ ทั้งยังปรากฎอยู่ในวรรค ๓ ของข้อมติแห่งปฏิญญาฉบับนี้ ซึ่งระบุถึงการทำให้การทำงานและองค์ประกอบของคณะประศาสน์การเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ในการนี้ ผู้อำนวยการใหญ่ขอให้คณะประศาสน์การพิจารณาจัดตั้งคณะทำงานไตรภาคีเพื่อทำการเจรจาและจัดทำข้อเสนอเรื่อง “การมีส่วนร่วมอย่างเป็นประชาธิปไตย เท่าเทียม และสมบูรณ์” และจะนำเสนอรายงานฉบับแรกของคณะทำงานชุดนี้ต่อคณะประศาสน์การในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๓
คณะประศาสน์การมีมติให้
(ก) ผู้อำนวยการใหญ่ยังคงมุ่งมั่นส่งเสริมให้เกิดการให้สัตยาบันบทแก้ไขธรรมนูญ รวมถึง การมีหนังสือเชิญชวนรัฐสมาชิกที่ยังไม่ให้สัตยาบัน และรายงานผลต่อที่ประชุมคณะประศาสน์การที่จะมีขึ้นในอนาคต
(ข) ผู้อำนวยการใหญ่เสนอร่างองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการไตรภาคี ต่อที่ประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ ๓๓๘ (เดือนมีนาคม ๒๕๖๓)
(ค) จัดตั้งคณะทำงานไตรภาคีตามข้อ (ข) และให้เสนอรายงานฉบับแรกต่อคณะประศาสน์การในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๓
๔.๑๑ การพิจารณาข้อร้องเรียนกรณีรัฐสมาชิกไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ให้สัตยาบันแล้ว
คณะประศาสน์การมีมติเกี่ยวกับข้อร้องเรียนกรณีรัฐสมาชิกไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ให้สัตยาบันแล้ว ดังนี้
(ก) ไม่รับคำร้องเรียนกรณีกล่าวหาว่า ประเทศชิลีไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับที่ ๑๑๑ ว่าด้วยการเลือกปฏิบัติ (การจ้างงานและอาชีพ) ค.ศ. ๑๙๕๘ เนื่องจาก ผู้ร้องไม่ได้ระบุชัดถึงการกระทำที่ขัดต่ออนุสัญญา
(ข) รับคำร้องเรียนกรณีกล่าวหาว่า ประเทศอินโดนีเชียไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับที่ ๑๑๑ ว่าด้วยการเลือกปฏิบัติ (การจ้างงานและอาชีพ) ค.ศ. ๑๙๕๘ และให้ตั้งคณะกรรมการไตรภาคีเพื่อสอบข้อเท็จจริง
(ค) รับคำร้องเรียนกรณีกล่าวหาว่า ประเทศบราซิลไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับที่ ๑๖๙ ว่าด้วยชนพื้นเมืองและชนเผ่า ค.ศ. ๑๙๘๙ และให้ตั้งคณะกรรมการไตรภาคีเพื่อสอบข้อเท็จจริง
(ง) ยุติการติดตามคำร้องเรียนกรณีกล่าวหาว่า ประเทศโคลัมเบียไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับที่ ๙๕ ว่าด้วยการคุ้มครองค่าจ้าง ค.ศ. ๑๙๔๙ เนื่องจาก คณะกรรมว่าด้วยการอนุวัติการอนุสัญญาและข้อแนะของ ILO ได้พิจารณาคำร้องเรียนในกรณีเดียวกันนี้แล้วเมื่อปี ๒๕๖๑ ว่า ไม่ขัดกับอนุสัญญาฉบับที่ ๙๕
๕. สรุปผลการประชุมที่สำคัญในกลุ่มการพัฒนานโยบาย (Policy Development Section: POL)
๕.๑ การตอบสนองของ ILO ต่อประเด็น HIV และ AIDS: เร่งรัดให้เกิดความคืบหน้าในปี พ.ศ. ๒๕๗๓
สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการบูรณาการประเด็น HIV และ AIDS เข้าไว้ในการทำงานของ ILO เพื่อให้บังเกิดผลตามวาระเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ ของสหประชาชาติ โดยการปรับปรุงกลยุทธเพื่อจัดการกับ HIV และ AIDS ในโลกแห่งการทำงาน ที่มีอยู่เดิมของ ILO ให้มีความครอบคลุมและตอบสนองต่อสถานการณ์ได้มากขึ้น สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศจึงนำเสนอกลยุทธสำหรับตอบสนองต่อประเด็น HIV และ AIDS เพื่อเร่งรัดให้เกิดความคืบหน้าการดำเนินงาน ดังนี้
– การตอบสนองต่อประเด็น HIV และ AIDS โดยไม่หยุดชะงัก เนื่องจากมีประเด็นเกี่ยวกับ HIV และ AIDS เกิดขึ้นใหม่อยู่เสมอ
ในปี พ.ศ. ๒๕๖๑ มีผู้ติดเชื้อ HIV รายใหม่จำนวน ๑.๗ ล้านคน มีผู้ติดเชื้อ HIV จำนวน ๓๗.๙ ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตจากโรค AIDS จำนวน ๗๗๐,๐๐๐ คน ประเทศในแถบแอฟริกาใต้และตะวันออกมีจำนวนผู้ติดเชื้อจำนวนมากที่สุด ในขณะที่ยุโรปตะวันออกและเอเชียกลางมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงที่สุด คือ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๙ รองลงมา คือ ตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๐ และละตินอเมริกามีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗ จากสถิติพบว่า คนงานที่ติดเชื้อ HIV ใน พ.ศ. ๒๕๔๘ มีจำนวน ๓๐ ล้านคน และเพิ่มขึ้นเป็น ๒๖.๖ ล้านคนใน พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยคาดการณ์ว่า จำนวนคนงานที่ติดเชื้อ HIV จะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน ๓๐ ล้านคนใน พ.ศ. ๒๕๖๓ และจะมีกำลังแรงงานอายุตั้งแต่ ๑๕ ปีขึ้นไปเสียชีวิตจากโรคเอดส์ จำนวนประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ คน ใน พ.ศ. ๒๕๖๓ นอกจากนั้น งานวิจัยที่จัดทำขึ้นเมื่อไม่นานนี้แสดงถึง ผลกระทบจากการติดเชื้อ HIV ที่มีต่องานดูแลบ้านและสมาชิกในครัวเรือน ทั้งที่เป็นการทำงานแบบมีรายได้และไม่มีรายได้ ภาระจากการดูแลผู้ติดเชื้อ HIV ส่งผลอย่างชัดเจนต่อสมาชิกครอบครัว มีการคาดการณ์ว่าใน พ.ศ. ๒๕๖๓ ผู้หญิงจำนวนประมาณ ๕๐,๐๐๐ คน ต้องรับภาระงานดูแลสมาชิกครอบครัวที่ติดเชื้อ HIV โดยไม่ได้รับค่าจ้าง ซึ่งทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมด้านโอกาสในตลาดแรงงานและการได้รับการศึกษาระหว่างชายและหญิง และส่งผลต่อโอกาสในการมีรายได้ และการเข้าถึงการประกันสังคมที่ครอบคลุมถึงการประกันสุขภาพ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีประเด็นต่าง ๆ เกิดขึ้นมาใหม่ เช่น พบผู้ชายสูงอายุติดเชื้อ HIV มากขึ้นในยุโรป มีการระบาดของวัณโรคซึ่งเป็นโรคฉวยโอกาสของเอดส์เพิ่มมากขึ้น เป็นต้น
– การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับการปฏิบัติงานของ ILO ด้าน HIV และ AIDS และโลกแห่งการทำงาน
จากการทำงานในระบบไตรภาคีของ ILO ส่งผลให้หลายประเทศมีกฎหมายและนโยบายเพื่อจัดการกับประเด็น HIV และ AIDS ในโลกแห่งการทำงาน นอกจากนั้น องค์การนายจ้าง องค์การลูกจ้าง และรัฐบาลยังร่วมกันส่งเสริมเรื่องการปรึกษาหารือและตรวจหา HIV โดยสมัครใจ หรือที่เรียกว่า VCT@WORK ซึ่งมีคนงานกว่า ๕ ล้านคนไปรับการตรวจหา HIV เองโดยสมัครใจ ทำให้มีคนงานประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ คนที่ติดเชื้อ HIV ได้รับการรักษา จากสถานการณ์ปัจจุบันที่หลายฝ่ายมุ่งไปที่การรักษามากกว่าป้องกัน ทำให้ผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น ILO จึงมีความจำเป็นดำเนินงานต่อไป โดยมุ่งเน้นที่ การป้องกันคนงานผู้เยาว์ที่เปราะบางต่อ HIV และ AIDS การเลือกปฏิบัติเนื่องจากการมีเชื้อ HIV ในกฎหมายและแนวปฏิบัติ ความรุนแรงและการล่วงละเมิดต่อคนงานที่ติดเชื้อ HIV โอกาสที่ไม่เท่าเทียมในการมีงานทำของผู้ติดเชื้อ HIV การเปิดเผยข้อมูลผลการทดสอบเชื้อ HIV ของคนงาน การบริการต่าง ๆ เกี่ยวกับ HIV ที่ไม่เพียงพอสำหรับคนงานในพื้นที่ห่างไกล และอาชีพที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV และโรคฉวยโอกาสอื่น ๆ
– การกำหนดองค์ประกอบให้กับกลยุทธของ ILO เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
ILO จำเป็นต้องปรับกลยุทธเพื่อส่งเสริมให้สมาชิกทั้ง ๓ ฝ่ายสามารถจัดการกับประเด็นท้าทายด้าน HIV และ AIDS ที่ยังคงมีอยู่และที่เกิดขึ้นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเห็นควรให้เพิ่มความสำคัญกับคนงานผู้เยาว์ คนงานที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV และคนงานที่เสี่ยงต่อความรุนแรงและการล่วงละเมิด ทั้งนี้ ILO จะดำเนินกิจกรรมตามแนวทางที่ปรากฏในข้อแนะฉบับที่ ๒๐๐ ว่าด้วย HIV และ AIDS อนุสัญญาฉบับที่ ๑๙๐ และข้อแนะฉบับที่ ๒๐๖ ว่าด้วยความรุนแรงและการล่วงละเมิด ขณะเดียวกัน ILO จะส่งเสริมการทำงานของผู้แทนทั้ง ๓ ฝ่ายของประเทศที่มีอุปสรรคสูงในกลุ่มแอฟริกา เอเชีย เอมริกา และยุโรป และประเทศอื่น ตามที่ร้องขอ
– การดำเนินงานพร้อมกันสองทางเพื่อไปสู่เป้าหมายเดียวกัน
หนทางแรกคือ การส่งเสริมสิทธิแรงงาน การให้ความรู้ เพื่อให้คนงานสามารถปกป้องตนเองให้พ้นจากการเลือกปฏิบัติ ความรุนแรง และการล่วงละเมิด หนทางที่สอง คือ การเข้าจัดการกับปัญหา HIV แบบบูรณาการ เพื่อขยายผลลัพธ์ด้านการป้องกัน การดูแลรักษา การให้ข้อมูลข่าวสาร และแผนปฏิบัติ ให้มีผู้ได้รับประโยชน์จำนวนมากขึ้น
– การสนับสนุนประเด็นเกี่ยวกับ HIV เป็นการเฉพาะ
ILO จะสนับสนุนแผนงานและมาตรการที่ (ก) เสริมสร้างขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ องค์กรของนายจ้าง และองค์กรของลูกจ้าง เพื่อให้สามารถนำข้อแนะฉบับที่ ๒๐๐ ไปปฏิบัติได้ (ข) ส่งเสริมแผนงาน VCT@WORK ให้เข้าถึงกลุ่มลูกจ้างมากขึ้น (ค) ส่งเสริมมาตรการต่าง ๆ โดยการเจรจาทางสังคง เพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติและการตีตราด้วยเหตุแห่งการติดเชื้อ HIV ในการทำงาน (ง) เอื้อให้มีการสร้างความเป็นหุ้นส่วนไตรภาคีในระดับประเทศ เพื่อป้องกัน HIV ในโลกแห่งการทำงาน และ (จ) ออกแบบหรือปรับปรุงเครื่องมือของ ILO เกี่ยวกับ HIV สำหรับคนงานผู้เยาว์ คนงานในพื้นที่ชนบท และกลุ่มเป้าหมายอื่น ๆ
– การบูรณาการประเด็นเกี่ยวกับ HIV
ILO บูรณาการข้อมูลข่าวสารและการป้องกัน HIV เข้าไว้ในโครงการหรือการทำงานอื่น ๆ ของ ILO แล้ว แต่จะเสริมสร้างให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้นในด้าน (ก) กรอบงานการคุ้มครองทางสังคม (ข) มาตรการรองรับประเด็น HIV ในงานดูแลบ้านและคนในครอบครัว (ค) การส่งเสริม การอบรม การให้คำปรึกษาเรื่อง HIV ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอนุสัญญาฉบับที่ ๑๙๐ และข้อแนะฉบับที่ ๒๐๖ (ง) การรวมประเด็น HIV เข้าไว้ในการปฏิบัติตามมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศด้านความเท่าเทียมทางเพศและโอกาส การทำงานบ้าน การคุ้มครองความเป็นมารดา และมาตรฐานเฉพาะภาคส่วนอื่น ๆ (จ) แผนงานเพื่อแก้ปัญหาการเลือกปฏิบัติและการตีตราในสถานที่ทำงาน (ฉ) อาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน แผนงานส่งเสริมสุขภาพหรือความเป็นอยู่ที่ดี (ช) แผนงานและโครงการด้าน HIV สำหรับแรงงานต่างด้าวและคนงานโยกย้ายถิ่นฐาน
– การสร้างเครื่องมือเพื่อฝึกอบรม ให้คำแนะนำ และให้ความรู้
ILO จะทำงานวิจัยเรื่อง ความสัมพันธ์ของการมีงานทำกับการเลือกปฏิบัติและการตีตรา อันเนื่องมาจากการติดเชื้อ HIV และเรื่องผลกระทบของการติดเชื้อ HIV ต่อผู้ที่มีอายุ ๕๐ ปีขึ้นไป และจะสร้างเครื่องมือที่ช่วยกระตุ้นให้ข้อมูลข่าวสารและข้อความด้าน HIV ไปถึงคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนงานในพื้นที่ห่างไกล
– การสร้างความเป็นหุ้นส่วนร่วมกับองค์กรต่าง ๆ
ยกระดับความเป็นหุ่นส่วนในการทำงานกับ UNAIDS และองค์กรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องภายใต้ UN ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล และจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับ Global Fund เพื่อร่วมกันทำงาน
คณะประศาสน์การมีมติให้ผู้อำนวยการใหญ่พิจารณานำกลยุทธด้านการปฏิบัติของ ILO ด้าน HIV และ AIDS ในโลกแห่งการทำงาน ไปใช้ในการปฏิบัติตามแผนงานและงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ ในการจัดทำกรอบงานเชิงกลยุทธฉบับต่อไป และในการจัดทำแผนงานและงบประมาณในอนาคต
๕.๒ กิจกรรมเชิงส่งเสริมเกี่ยวกับปฏิญญาไตรภาคีว่าด้วยวิสาหกิจข้ามชาติและนโยบายสังคม และความคืบหน้าของการดำเนินการภายนอก ILO
สืบเนื่องจากที่ประชุมคณะประศาสน์การสมัยที่ ๓๒๙ (มีนาคม ๒๕๖๐) ได้รับรองการแก้ไขปฏิญญาไตรภาคีว่าด้วยวิสาหกิจข้ามชาติและนโยบายสังคม (MNE Declaration) ซึ่งมีเอกสารผนวก II บรรจุรายการเครื่องมือสำหรับให้รัฐบาล วิสาหกิจ องค์กรนายจ้าง และองค์ลูกจ้าง ได้นำไปใช้ ต่อมาที่ประชุมคณะประศาสน์การสมัยที่ ๓๓๒ (มีนาคม ๒๕๖๑) ได้รับรองแนวทางด้านกิจกรรมเชิงส่งเสริมเกี่ยวกับปฏิญญาฉบับนี้ ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามมติดังกล่าว สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศจึงได้ดำเนินกิจกรรมเชิงส่งเสริมต่าง ๆ เกี่ยวกับ MNE Declaration เพื่อส่งเสริมการเป็นวิสาหกิจแบบยั่งยืนตามบริบทของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ และแผนงาน ILO ด้านงานที่มีคุณค่าในห่วงโซ่อุปทานโลก
ในการประชุมครั้งนี้ สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้นำเสนอรายงานการดำเนินกิจกรรมนับแต่มีมติคณะประศาสน์การ เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ดังนี้
ก. กิจกรรมเชิงส่งเสริม ได้แก่
– การกระตุ้นจิตสำนึกและการสร้างขีดความสามารถ โดยการให้บริการข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ MNE Declaration ผ่านทางเว็บไซต์ ซึ่งมีคำแปลตัวบท MNE Declaration เป็นภาษาต่าง ๆ จำนวน ๑๕ ภาษา อยู่ในเว็บไซต์ด้วย จัดทำระบบ e-learning เรื่อง ธุรกิจและงานที่มีคุณค่า: ปฐมบทของ MNE Declaration ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. ๒๕๖๒ มีผู้เข้าใช้งานกว่า ๒๐๐ ราย และขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำเป็นภาษาจีนและญี่ปุ่นเพิ่มเติม มีการนำคู่มือเรื่อง MNE Declaration: What’s in it for Workers? ของสำนักกิจกรรมสำหรับคนงาน ไปใช้ในการสร้างขีดความสามารถให้กับองค์กรของคนงานทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และสากล มีการอบรมหลักสูตรต่าง ๆ เกี่ยวกับ MNE Declaration ณ ศูนย์ฝึกอบรมเมืองตูริน ของ ILO ร่วมถึงการจัดอบรมในรัฐสมาชิกของ ILO ด้วย ในส่วนของประเทศไทยนั้น ILO ได้มีการดัดแปลงหลักสูตร “มาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศและความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร: วิธีการของ MNE Declaration” ให้เหมาะสมและนำมาจัดการอบรมในประเทศไทย และ ILO ยังร่วมมือกับ EU และ OECD จัดโครงการความรับผิดชอบต่อกิจการที่เป็นห่วงโซ่อุปทานในเอเชีย ซึ่งมีการจัดทำหลักสูตรอบรมสำหรับสถานประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม โดยได้มีการจัดอบรม Training of Trainer สำหรับหลักสูตรดังกล่าวขึ้นในประเทศไทย รวมถึงได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อติดตามผลโครงการในประเทศจีน ญี่ปุ่น เมียนมา ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม
– การติดตามผลการนำ MNE Declaration ไปปฏิบัติในระดับภูมิภาค ซึ่งจะทำการติดตามในแต่ละภูมิภาคโดยให้สอดคล้องกับรอบการจัดประชุม ILO ระดับภูมิภาค อันได้แก่ ภูมิภาคแอฟริกา อเมริกา เอเชียและแปซิฟิก และยุโรป
– การส่งเสริมในระดับประเทศผ่านจุดประสานงานไตรภาคีแห่งชาติ ซึ่ง ILO ส่งเสริมให้มีการปรึกษาหารือไตรภาคีภายในประเทศในการปฏิบัติต่าง ๆ เกี่ยวกับมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศตามแนวทางของอนุสัญญาฉบับที่ ๑๔๔ ว่าด้วยการปรึกษาหารือไตรภาคี (มาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ ค.ศ. ๑๙๗๖ และส่งเสริมให้รัฐสมาชิกจัดตั้งจุดประสานงานไตรภาคีแห่งชาติขึ้น โดยในขณะนี้มี ๖ ประเทศที่ได้จัดตั้งจุดประสานงานดังกล่าวแล้ว คือ Cote d’Ivoire, Jamaica, Norway, Portugal, Senegal และ Sierra Leone
– การให้ความช่วยเหลือในระดับประเทศ โดย ILO ได้เข้าไปช่วยเหลือรัฐสมาชิกให้มีความเข้าใจในสาระของ MNE Declaration และวิธีในการปฏิบัติตามหลักการของปฏิญญา ทั้งนี้ ตามแต่การร้องขอของรัฐสมาชิก ซึ่งความช่วยเหลือที่ให้กับประเทศไทยอยู่ภายใต้โครงการความรับผิดชอบต่อกิจการที่เป็นห่วงโซ่อุปทานในเอเชีย ซึ่งดำเนินการใน ๖ ประเทศ (จีน ญี่ปุ่น เมียนมา ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม)
– การจัดตั้ง ILO Helpdesk of Business ซึ่งเป็นศูนย์ให้ข้อมูลและคำปรึกษาทางเว็บไซต์เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม และเผยแพร่ข้อมูลคู่มือความช่วยเหลือต่าง ๆ โดยมีการจัดทำคำแปลคู่มือด้านความรับผิดชอบต่อกิจการที่เป็นห่วงโซ่อุปทานในเอเชียเป็นภาษาไทยด้วย
– การเจรจาระหว่างสหภาพและบริษัท ซึ่งสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้ให้แนวทางที่เป็นกลางสำหรับการเจรจาให้บรรลุผล และมีการใช้ช่องทาง ILO Helpdesk of Business เพื่อส่งเสริมการเจรจาระหว่างสหภาพและบริษัท
ข. การพัฒนาภายนอก ILO และการร่วมทำงานกับภาคธุรกิจและองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ
– หน่วยงานและองค์กรระหว่างประเทศหลายองค์กรได้แสดงถึงการยอมรับหลักการของ MNE Declaration เช่น กลุ่ม G๗ ที่รับรองคำประกาศทางสังคมใน พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่จะส่งเสริมแนวปฏิบัติทางธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบในห่วงโซ่อุปทานโลก ให้สอดคล้องกับตราสารระหว่างประเทศ ๓ ฉบับ ซึ่ง ๑ ในสามฉบับนั้น คือ MNE Declaration หรือกรอบงานนโยบายการลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของ UNCTAD ที่มีการอ้างถึง MNE Declaration
– การร่วมดำเนินงานและร่วมส่งเสริม MNE Declaration กับองค์กรภายนอก โดยการจัดประชุมหรือกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัด the Responsible Business and Human Rights Forum ร่วมกับ UNDP ที่ประเทศไทย เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๖๒
คณะประศาสน์การมีมติให้ผู้อำนวยการใหญ่นำแนวทางที่ได้จากวาระการประชุมนี้ ไปใช้ในการเสริมสร้างให้เกิดการตระหนักถึงความสำคัญและมีการนำ MNE Declaration ไปปฏิบัติ และในการช่วยเหลือรัฐสมาชิก หุ้นส่วนทางสังคม และวิสาหกิจในการปฏิบัติตามปฏิญญา
๕.๓ แผนงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาสำหรับเขตยึดครองของอาหรับ
คณะประศาสน์การมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาสำหรับเขตยึดครองของอาหรับ และการดำเนินงานภายใต้แผนงานที่มีคุณค่า ๒๐๑๘-๒๐๒๒ ในเขตยึดครองของปาเลสไตน์ ซึ่งในช่วงเวลาการดำเนินงานตามแผนดังกล่าวนั้น ปาเลสไตน์มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจน้อยกว่าร้อยละ ๑ มีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๖.๓ ดังนี้
– ความคืบหน้าในภาพรวมของแผนงานและการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วน ซึ่งได้รับงบประมาณช่วยเหลือเพิ่มเติมจากหลายแหล่ง และขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาของบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลอิตาลี
– ความก้าวหน้าและความสำเร็จในกิจกรรมหลัก ได้แก่ การสร้างโอกาสด้านความเป็นอยู่และการมีงานทำสำหรับหญิงและชายชาวปาเลสไตน์ การเสริมสร้างการบริหารจัดการแรงงานและการตระหนักถึงความสำคัญของหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน และการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาระบบประกันสังคมสำหรับชาวปาเลสไตน์และการขยายการคุ้มครองทางสังคมแบบถ้วนหน้า
การดำเนินการขั้นต่อไปของสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ คือ ส่งเสริมการพัฒนาระบบประกันสังคมเพื่อให้ความคุ้มครองแก่คนงานนอกภาครัฐ ส่งเสริมกองทุนการมีงานทำและการคุ้มครองทางสังคมสำหรับชาวปาเลสไตน์เพื่อให้มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถของสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศในการส่งเสริมงานที่มีคุณค่าสำหรับชาวปาเลนไตน์
๕.๔ กรอบเวลาและค่าใช้จ่ายของกลยุทธเชิงบูรณาการเพื่อแก้ไขการขาดซึ่งงานที่มีคุณค่าในภาคยาสูบ
สืบเนื่องจากองค์การอนามัยโลกได้ออกอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ และมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๘ มีวัตถุประสงค์เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ผลิตภัณฑ์ยาสูบแพร่กระจายไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา แต่ไม่มีการปฏิบัติตามอนุสัญญานี้ให้เห็นผลอย่างชัดเจน United Nations Interagency Task Force (UNIATF) จึงออกนโยบายระบุว่า องค์กรภายใต้ระบบของ UN ต้องไม่มีกิจกรรมเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยาสูบ และไม่มีส่วนร่วมในการดำเนินการหรือรับการสนับสนุนทางการเงินจากอุตสาหกรรมยาสูบ แต่ที่ผ่านมานั้น ILO ได้ร่วมกับอุตสาหกรรมยาสูบดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงานของ ILO ในกลุ่มคนงานไร่ยาสูบ และมีหลายโครงการของ ILO ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากอุตสาหกรรมยาสูบ ดังนั้น สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้จัดทำกลยุทธเชิงบูรณาการเพื่อแก้ไขการขาดซึ่งงานที่มีคุณค่าในภาคยาสูบฯ ซึ่งมีส่วนประกอบหลัก ๓ ประการ คือ (๑) สภาพแวดล้อม ที่เอื้อต่อการกำหนดนโยบาย (๒) การเจรจาทางสังคมที่เข้มแข็ง และ (๓) การแก้ไขการขาดซึ่งงานที่มีคุณค่าในภาคยาสูบ และนำเสนอต่อที่ประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ ๓๓๒ (มีนาคม ๒๕๖๑) ต่อมาที่ประชุม คณะประศาสน์การ สมัยที่ ๓๓๔ ให้สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศจัดการประชุมทางวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องการพัฒนาและการนำกลยุทธแบบบูรณาการไปใช้ในการแก้ไขการขาดซึ่งงานที่มีคุณค่าในภาคยาสูบ ซึ่งสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้จัดการประชุมไตรภาคีทางวิชาการขึ้นที่เมืองกัมปาลา ประเทศอูกันดา เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๒
สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้นำผลจากการประชุมดังกล่าวและ Model Policy for agencies of the UN system on prevention tobacco industry interference ของสหประชาชาติมาพิจารณาประกอบการจัดทำกรอบเวลาและประมาณการค่าใช้จ่ายของกลยุทธเชิงบูรณาการเพื่อแก้ไขการขาดซึ่งงานที่มีคุณค่าในภาคยาสูบ โดยกลยุทธเชิงบูรณาดังกล่าวมุ่งให้เกิดผลลัพธ์ในแต่ละส่วนประกอบหลัก ๓ ประการ ดังนี้
ส่วนประกอบหลักที่ ๑ สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการกำหนดนโยบาย:
ผลลัพธ์ที่ ๑ องค์ประกอบไตรภาคีของ ILO มีความรู้และขีดความสามารถเพิ่มขึ้นในการระบุและเข้าแก้ไขกับการขาดซึ่งงานที่มีคุณค่าในภาคยาสูบ ซึ่งรวมถึง แรงงานเด็ก และส่งเสริมการกระจายการลงทุนในภาคการผลิตต่าง ๆ เพื่อเป็นหนทางในการปรับปรุงความเป็นอยู่ รายได้ และความมั่นคงทางอาหาร มีค่าใช้จ่ายประมาณ ๒๔๕,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐฯ
ผลลัพธ์ที่ ๒ มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้องค์ประกอบไตรภาคีของ ILO มีความมุ่งมั่นในการเข้าแก้ไขกับการขาดซึ่งงานที่มีคุณค่าในภาคยาสูบ และส่งเสริมงานที่มีคุณค่าในเศรษฐกิจชนบท มีค่าใช้จ่ายประมาณ ๒๓๕,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐฯ
ส่วนประกอบหลักที่ ๒ การเจรจาทางสังคมที่เข้มแข็ง:
ผลลัพธ์ที่ ๓ มีการเจรจาทางสังคมที่มีประสิทธิภาพในประเด็นเกี่ยวกับภาคยาสูบ และภาคส่วนทางสังคมมีขีดความสามารถที่เข้มแข็งในการปรับปรุงการปฏิบัติร่วมกัน ปรับปรุงองค์กรของตน และขยายเป้าหมายงานใหม่ มีค่าใช้จ่ายประมาณ ๑๗๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐฯ
ส่วนประกอบหลักที่ ๓ การแก้ไขการขาดซึ่งงานที่มีคุณค่าในภาคยาสูบ:
ผลลัพธ์ที่ ๔ มีการระบุถึงจุดที่ขาดซึ่งงานที่มีคุณค่าในภาคยาสูบและบรรเทาสถานการณ์นั้น เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงสภาพการทำงานที่สามารถวัดผลได้ มีค่าใช้จ่ายประมาณ ๕๒๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐฯ
ผลลัพธ์ที่ ๕ เกษตรกรกระจายการเพาะปลูกในพืชชนิดต่าง ๆ เพื่อมากขึ้น เพื่อเป็นหนทางในการปรับปรุงความเป็นอยู่ รายได้ และความมั่นคงทางอาหาร มีค่าใช้จ่ายประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่ประมาณการไว้มีเพื่อการปฏิบัติตามแผนในกรอบเวลา ๓ ปี สำหรับแต่ละประเทศ พร้อมกันนี้ สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้นำเสนอถึงแนวทางการหาแหล่งทุนการดำเนินงานแหล่งใหม่ เพื่อทดแทนแหล่งทุนเดิมซึ่งเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยาสูบ
คณะประศาสน์การมีมติ
(ก) มอบผู้อำนวนการใหญ่ ILO ตีพิมพ์เผยแพร่ร่างบันทึกการประชุมทางวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่อง การพัฒนาและการนำกลยุทธแบบบูรณาการไปใช้ในการแก้ไขการขาดซึ่งงานที่มีคุณค่าในภาคยาสูบ ณ เมืองกัมปาลา ประเทศอูกันดา เมื่อวันที่ ๓-๕ กรกฎาคม ๒๕๖๒
(ข) รับรองกรอบเวลาและประมาณการค่าใช้จ่ายของกลยุทธเชิงบูรณาการเพื่อแก้ไขการขาดซึ่งงานที่มีคุณค่าในภาคยาสูบ โดยรับการสนับสนุนทางการเงินจากความช่วยเหลือด้านการพัฒนาแบบพหุภาคีและทวิภาคี เสริมด้วยแหล่งทุนของ ILO หากจำเป็น เพื่อสานต่อการปฏิบัติงานตามกลยุทธที่มีอยู่เดิมใน ๔ ประเทศ (แทนซาเนีย มาลาวี อูกันดา และแซมเบีย)
๖. สรุปผลการประชุมที่สำคัญในกลุ่มข้อกฎหมายและมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ (Legal Issues and International Labour Standards Section: LILS)
๖.๑ รายงานการประชุมคณะทำงานไตรภาคีด้านกลไกการทบทวนมาตรฐาน ครั้งที่ ๕
คณะทำงานไตรภาคีด้านกลไกการทบทวนมาตรฐาน (Standards Review Mechanism Tripartite Working Group: SRM TWG) ซึ่งมีหน้าที่ทบทวนสถานะปัจจุบันของตราสาร ILO ฉบับต่าง ๆ และจัดทำความเห็นเกี่ยวกับทิศทางการกำหนดมาตรฐานฉบับใหม่ เพื่อเป็นแนวทางการทำงานในอนาคตเสนอต่อคณะประศาสน์การ ได้จัดประชุมขึ้นเป็นครั้งที่ ๕ เมื่อวันที่ ๒๓-๒๗ กันยายน ๒๕๖๒ ณ นครเจนีวา โดยได้พิจารณาเกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของตราสารเกี่ยวกับการมีงานทำและบริการจัดหางาน และทิศทางการกำหนดมาตรฐานใหม่เกี่ยวกับอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน
คณะประศาสน์การรับทราบถึงผลการประชุม และมีมติ
(ก) ให้สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศจัดเตรียมร่างข้อเสนอหัวข้ออันตรายทางชีวภาพ การยศาสตร์และการขนส่งด้วยแรงกาย อันตรายทางเคมี และอุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากเครื่องจักร เพื่อเป็นวารการประชุมพิจารณาจัดทำมาตรฐานใน ILC เสนอต่อที่ประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ ๓๓๘ (เดือนมีนาคม ๒๕๖๓)
(ข) เห็นชอบความเห็นของ SRM TWG ว่าอนุสัญญาฉบับ ๘๘ และข้อแนะฉบับที่ ๘๓ ว่าด้วยบริการจัดหางาน ค.ศ. ๑๙๔๘ อนุสัญญาฉบับที่ ๑๘๑ และข้อแนะฉบับที่ ๑๘๘ ว่าด้วยหน่วยบริการจัดหางานของรัฐ ค.ศ. ๑๙๙๗ และข้อแนะฉบับที่ ๑๘๙ ว่าด้วยการสร้างงานในวิสาหกิจการกลางและขนาดเล็ก ค.ศ. ๑๙๙๘ ยังคงมีเนื้อหาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนอนุสัญญาฉบับที่ ๒ ว่าด้วยการว่างงาน ค.ศ. ๑๙๑๙ อนุสัญญาฉบับที่ ๓๔ ว่าด้วยหน่วยบริการจัดหางานโดยคิดค่าธรรมเนียม ค.ศ. ๑๙๓๓ และอนุสัญญาฉบับที่ ๙๖ ว่าด้วยหน่วยบริการจัดหางานโดยคิดค่าใช้จ่าย (ฉบับปรับปรุง) ค.ศ. ๑๙๔๙ มีเนื้อหาที่ไม่ทันกับสถานการณ์ปัจจุบัน
(ค) ให้องค์ประกอบทั้ง ๓ ฝ่ายของ ILO ติดตามการปฏิบัติงานตามแผนเพื่อสนับสนุนให้รัฐสมาชิกที่ให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับ ๒ ว่าด้วยการว่างงาน ค.ศ. ๑๙๑๙ และอนุสัญญาฉบับที่ ๙๖ ว่าด้วยหน่วยบริการจัดหางานโดยคิดค่าใช้จ่าย (ฉบับปรับปรุง) ค.ศ. ๑๙๔๙ พิจารณาให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับอื่นที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องทดแทนอนุสัญญาทั้งสองฉบับ
(ง) ให้สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศเริ่มสร้างเครื่องมือและแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับบริการจัดหางานโดยภาครัฐ จัดทำคู่มือการสร้างงานและงานที่มีคุณค่าในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ยั้งยืน โดยปรึกษาหารือกับสำนักกิจการนายจ้างและสำนักกิจการคนงานของ ILO
(จ) รับทราบความประสงค์ของ SRM TWG ที่จะติดตามผลการปฏิบัติงานของสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศเกี่ยวกับอนุสัญญาฉบับที่ ๒ ในการประชุมคณะทำงานใน พ.ศ. ๒๕๖๙
(ฉ) เห็นชอบกับการเสนอให้ถอดถอนอนุสัญญาฉบับที่ ๓๔ ใน ILC สมัยที่ ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๕๖๔) และยกเลิกอนุสัญญาฉบับที่ ๙๖ ใน ILO สมัยที่ ๑๑๙ (พ.ศ. ๒๕๗๓)
(ช) ให้ SRM TWG ดำเนินการทบทวนสถานะของตราสารจำนวน ๑๐ ได้แก่ อนุสัญญาฉบับที่ ๑๖๘ และ ข้อแนะฉบับที่ ๑๗๖ ว่าด้วยการส่งเสริมการมีงานทำและการคุ้มครองจากการว่างงาน ค.ศ. ๑๙๘๘ ข้อแนะฉบับที่ ๑๗ ว่าด้วยการประกันสังคม (ภาคการเกษตร) ค.ศ. ๑๙๒๑ ข้อแนะฉบับที่ ๖๘ ว่าด้วยการประกันสังคม (เจ้าหน้าที่ติดอาวุธ) ค.ศ. ๑๙๔๔ ข้อแนะฉบับที่ ๖๙ ว่าดวยการรักษาทางการแพทย์ ค.ศ. ๑๙๔๔ อนุสัญญาฉบับที่ ๔๔ และข้อแนะฉบับที่ ๔๔ ว่าด้วยการว่างงาน ค.ศ. ๑๙๓๔ อนุสัญญาฉบับที่ ๒๔ ว่าด้วยการประกันการเจ็บป่วย (ภาคอุตสาหกรรม) ค.ศ. ๑๙๒๗ อนุสัญญาฉบับที่ ๒๕ ว่าด้วยการประกันการเจ็บป่วย (ภาคการเกษตร) ค.ศ. ๑๙๒๗ และข้อแนะฉบับที่ ๒๙ ว่าด้วยการประกันการเจ็บป่วย ค.ศ. ๑๙๒๗
(ซ) ให้จัดประชุม SRM TWG ครั้งที่ ๖ ในวันที่ ๑๔-๑๘ กันยายน ๒๕๖๓
๖.๒ การเลือกอนุสัญญาและข้อแนะเพื่อการจัดทำรายงาน ตามมาตรา ๑๙ วรรค ๕(อี) และวรรค ๖(ดี) ของธรรมนูญ ILO ใน พ.ศ. ๒๕๖๔
สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศเสนอให้คณะประศาสน์การตรวจสอบอนุสัญญาและข้อแนะฉบับต่าง ๆ ที่ได้คัดเลือกมา เพื่อส่งให้รัฐบาลจัดทำรายงานใน พ.ศ. ๒๕๖๔ เกี่ยวกับอนุสัญญาที่ยังไม่ได้ให้สัตยาบันและข้อแนะตาม ๑๙ วรรค ๕(อี) และวรรค ๖(ดี) ของธรรมนูญ ILO สำหรับเป็นข้อมูลประกอบการสำรวจทั่วไปประจำปีของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุวัติอนุสัญญาและข้อแนะ (CEACR) ซึ่งผล การสำรวจทั่วไปประจำปีที่จัดทำขึ้นโดย CEARC จะถูกเสนอให้คณะกรรมการด้านการปฏิบัติตามมาตรฐาน (CAS) ได้พิจารณาต่อไปใน ILC พ.ศ. ๒๕๖๕
คณะประศาสน์การมีมติเลือกอนุสัญญาฉบับที่ ๑๑๑ และข้อแนะฉบับที่ ๑๑๑ ว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติ (การจ้างงานและอาชีพ) ค.ศ. ๑๙๕๘ อนุสัญญาฉบับที่ ๑๕๖ และข้อแนะฉบับที่ ๑๖๕ ว่าด้วยคนงานที่มีภาระรับผิดชอบต่อครอบครัว ค.ศ. ๑๙๘๑ และอนุสัญญาฉบับที่ ๑๘๓ และข้อแนะฉบับที่ ๑๙๑ ว่าด้วยการคุ้มครองความเป็นมารดา ค.ศ. ๒๐๐๐
๗. สรุปผลการประชุมที่สำคัญในกลุ่มแผนงาน การเงิน และการบริหาร (Programme, Financial and Administrative Section: PFA)
๗.๑ แผนงานและงบประมาณสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔
คณะประศาสน์การมีมติรับรองการจัดสรรงบประมาณที่ได้รับมาจำนวน ๗๙๐,๖๔๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อการบริหารจัดการองค์กรและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของ ILO และผลลัพธ์ที่ประสงค์ให้เกิดจากการดำเนินงานตามแผนงานสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ โดยมุ่งใช้วิธีการที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางเพื่อนำไปสู่อนาคตของงานตามที่กำหนดไว้ปฏิญญาแห่งศตวรรษของ ILO ซึ่งตั้งเป้าให้ผลลัพธ์นั้นมีส่วนช่วยให้บรรลุตามตัวชี้วัดที่ ๘ งานที่มีคุณค่าและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ผลลัพธ์เชิงนโยบายที่ประสงค์ให้เกิดจากการดำเนินงานตามแผนงานมี ๘ ประการ ดังนี้
ผลลัพธ์ ๑ องค์ประกอบไตรภาคีมีความเข้มแข็ง และมีการเจรจาทางสังคมที่ครอบคลุมและบังเกิดผล โดยมีกรอบกิจกรรมเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์นี้ คือ เพิ่มขีดความสามารถเชิงสถาบันให้แก่นายจ้าง องค์กรทางธุรกิจ องค์กรของคนงาน และหน่วยงานบริหารจัดการด้านแรงงาน
ผลลัพธ์ ๒ มาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศและการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพและเข้มงวด โดยมีกรอบกิจกรรมเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์นี้ คือ (ก) เพิ่มขีดความสามารถให้แก่รัฐสมาชิกด้านการให้สัตยาบันมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศและการปฏิบัติตามมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ และ (ข) เพิ่มขีดความสามารถให้สมาชิก ILO ทั้งสามฝ่ายให้มีส่วนในการติดตามนโยบายมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ
ผลลัพธ์ ๓ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อการมีงานทำโดยสมบูรณ์ ซึ่งเป็นงานที่มีผลิตภาพ และมีเสรีภาพในการเลือกงานทำ และเป็นงานที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน โดยมีกรอบกิจกรรมเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์นี้ คือ (ก) เพิ่มขีดความสามารถให้รัฐสมาชิกในการกำหนดและดำเนินนโยบายแห่งชาติด้านการมีงานทำที่ตอบสนองต่อประเด็นเพศสภาพและผู้เยาว์ นโยบายและกลยุทธการสร้างงานที่มีคุณค่าในเศรษฐกิจชนบท และนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงรูปแบบที่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน และในการจัดตั้งหน่วยบริการจัดหางานและแผนงานด้านตลาดแรงงานที่ให้ความสำคัญกับคนงานผู้เยาว์และคนงานผู้สูงอายุ และ (ข) เพิ่มขีดความสามารถให้สมาชิก ILO ทั้งสามฝ่ายในการใช้แนวคิดงานที่มีคุณค่ามาส่งเสริมสังคมให้ฟื้นตัว มั่นคง และมีสันติสุข และในการจัดตั้งหน่วยบริการจัดหางานและการวางแผนงานด้านตลาดแรงงานที่ให้ความสำคัญกับคนงานผู้เยาว์และคนงานผู้สูงอายุ
ผลลัพธ์ ๔ วิสาหกิจที่มีความยั่งยืน เพื่อเป็นแหล่งสร้างงาน และแหล่งส่งเสริมนวัตกรรมและงานที่มีคุณค่า โดยมีกรอบกิจกรรมเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์นี้ คือ (ก) เพิ่มขีดความสามารถให้รัฐสมาชิกด้านการสร้างสรรสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเป็นผู้ประกอบกิจการและการเป็นวิสาหกิจที่มีความยั่งยืน และด้านการพัฒนานโยบาย กฎหมาย และมาตรการ ที่เอื้อต่อการเป็นวิสาหกิจในระบบ (ข) เพิ่มขีดความสามารถให้วิสาหกิจในการรับเอาเทคนิค เทคโนโลยี และรูปแบบทางธุรกิจแนวใหม่ มาใช้เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนและผลิตภาพ และ (ค) เพิ่มขีดความสามารถให้รัฐสมาชิกและวิสาหกิจในการกำหนดนโยบายและมาตรการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้มีการนำแนวคิดงานที่มีคุณค่าและวิธีการที่มีคนเป็นศูนย์กลางเพื่ออนาคตของงานมาร่วมเข้าไว้ในแนวปฏิบัติทางธุรกิจ
ผลลัพธ์ ๕ ทักษะฝีมือและการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อช่วยให้เข้าถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในตลาดแรงงาน โดยมีกรอบกิจกรรมเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์นี้ คือ (ก) เพิ่มขีดความสามารถให้สมาชิก ILO ทั้งสามฝ่ายในการระบุถึง ความไม่สอดคล้องระหว่างทักษะแรงงานที่มีอยู่กับทักษะแรงงานที่ตลาดต้องการ และการคาดการณ์ถึงความต้องการทักษะแรงงานในอนาคต และในการกำหนดรูปแบบและเสนอทางเลือกด้านการเรียนรู้ที่ครอบคลุมทุกส่วน มีความยืดหยุ่น และมีนวัตกรรม ด้านการเรียนรู้จากการทำงาน และด้านการฝึกงานอย่างมีคุณภาพ และ (ข) เพิ่มขีดความสามารถให้รัฐสมาชิกในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสนับสนุนทางการเงิน รูปแบบการบริหาร และนโยบายการเรียนรู้ตลอดชีวิตและทักษะแรงงาน
ผลลัพธ์ ๖ ความเท่าเทียมทางเพศ และการปฏิบัติและโอกาสที่เท่ากัน สำหรับทุกคนในโลกแห่งการทำงาน โดยมีกรอบกิจกรรมเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์นี้ คือ (ก) เพิ่มขีดความสามารถให้สมาชิก ILO ทั้งสามฝ่าย ด้านการส่งเสริมการลงทุนในงานดูแลบ้านและสมาชิกครอบครัว (care economy) และสร้างความสมดุลในการแบ่งเบาความรับผิดชอบต่อครอบครัว และด้านการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่นโยบายและกลยุทธที่ทำให้มั่นใจได้ถึงการปฏิบัติ การมีส่วนร่วมและโอกาสที่เท่ากันในโลกแห่งการทำงานของผู้พิการและผู้ที่อยู่ในสถานการณ์เปราะบาง และ (ข) เพิ่มขีดความสามารถให้รัฐสมาชิกในการพัฒนากฎหมาย นโยบาย และมาตรการ ที่ตอบสนองต่อประเด็นเพศสภาพ เพื่อให้มีโลกแห่งการทำงานที่ปราศจากความรุนแรงและการล่วงละเมิด
ผลลัพธ์ ๗ การคุ้มครองการทำงานที่มีประสิทธิภาพและเพียงพอสำหรับทุกคน โดยมีกรอบกิจกรรมเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์นี้ คือ (ก) เพิ่มขีดความสามารถให้รัฐสมาชิก เพื่อทำให้มั่นใจได้ถึงการเคารพ การส่งเสริม และการตระหนักถึงหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน การมีสภาพการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ การกำหนดค่าจ้างที่เพียงพอและการส่งเสริมเวลาการทำงานที่มีคุณค่า (ข) เพิ่มขีดความสามารถให้สมาชิก ILO ทั้งสามฝ่ายในการให้การคุ้มครองแรงงานที่เพียงพอตามลักษณะการทำงานที่หลากหลาย รวมถึง การทำงานผ่านเทคโนโลยีดิจิตอล และ การจ้างงานนอกระบบ และ ในการพัฒนาหน่วยบริการ สถาบัน และกรอบงานเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม เพื่อคุ้มครองแรงงานต่างด้าว
ผลลัพธ์ ๘ การคุ้มครองทางสังคมที่ยั่งยืนและครอบคลุมทุกส่วนสำหรับทุกคน โดยมีกรอบกิจกรรมเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์นี้ คือ เพิ่มขีดความสามารถให้รัฐสมาชิกในการพัฒนากรอบงานด้านกฎหมาย นโยบาย และกลยุทธการคุ้มครองทางสังคมระดับประเทศที่ยั่งยืนในรูปแบบใหม่ เพื่อขยายความครอบคลุมของสิทธิประโยชน์ให้เพียงพอ ในการปรับปรุงความยั่งยืนและการบริหารจัดการที่ดีของระบบการคุ้มครองทางสังคม และในการบูรณาการการคุ้มครองทางสังคมเข้าไว้ในนโยบายที่ครอบคลุมทุกส่วน เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองคนงานและนายจ้างในช่วงการเปลี่ยนแปลงชีวิตและการทำงาน
คณะประศาสน์การยังรับทราบถึงมุมมองในภาพรวมของสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศที่มีต่อสถานการณ์แรงงาน และทิศทางการดำเนินงานของ ILO ในแต่ละภูมิภาค สำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (ASPAG) นั้น สำนักงานฯ มีมุมมองว่า ในรอบ ๒๐ ปีที่ผ่านมา ASPAG มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ มีอัตราการว่างงานต่ำ มีอัตราการส่งออกสูง แต่ก็ยังคงมีการจ้างงานนอกระบบจำนวนมาก คนงานกว่าครึ่งในประเทศ ASPAG ที่มีรายได้ปานกลางถึงต่ำทำงานที่ขาดซึ่งงานที่มีคุณค่า มากกว่าหนึ่งในสามของคนงานเหล่านี้มีฐานะยากจน มีความไม่เท่าเทียมทางรายได้ในหลายประเทศของ ASPAG ไม่ว่าประเทศนั้นจะมีการพัฒนาในระดับใด การขาดนโยบายส่งเสริมความเจริญเติบโตโดยมีคนเป็นศูนย์กลาง ทำให้คนงานหลายล้านคนในภูมิภาคนี้ตกอยู่ในความยากจน นอกจากนั้น การเปลี่ยนแปลงทางบรรยากาศ เทคโนโลยี และประชากร การเคลื่อนย้ายของแรงงานข้ามชาติ และความไม่เท่าเทียมทางเพศยังคงเป็นประเด็นท้าทายสำหรับการบริหารจัดการตลาดแรงงาน ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อสรุปจากการประชุมภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ ๑๖ สำนักงานฯ จะมุ่งให้ความสนใจกับประเด็น (ก) การคุ้มครองการทำงานที่มีประสิทธิภาพและเพียงพอ และระบบการคุ้มครองทางสังคมแบบถ้วนหน้าอย่างยั่งยืน (ข) การพัฒนาทักษะฝีมือและการเรียนรู้ตลอดชีวิต (ค) ความเท่าเทียมทางเพศ และการปฏิบัติและโอกาสที่เท่ากัน และ (ง) องค์ประกอบไตรภาคีที่มีความเข้มแข็ง
๗.๒ การปฏิบัติทางการเงินตามคำตัดสินขององค์คณะตุลาการทางการปกครองของ ILO เรื่องมติของ International Civil Service Commission (ICSC) เกี่ยวกับการแก้ไขตัวชี้วัดการจ่ายเงินสำหรับตำแหน่งที่ประจำการในนครเจนีวา
สืบเนื่องจากองค์คณะตุลาการทางการปกครองของ ILO มีคำตัดสินเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ให้ ILO จ่ายเงินให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามอัตราที่คำนวณได้จากตัวชี้วัดการจ่ายเงินสำหรับตำแหน่งที่ประจำการในนครเจนีวาฉบับแก้ไขโดยมติของ International Civil Service Commission (ICSC) ซึ่งคำตัดสินนี้ถือเป็นที่สุด และตามมาตรา VI ของข้อบังคับองค์คณะตุลาการฯ กำหนดให้คำตัดสินมีผลโดยทันที ซึ่งในการพิจารณาความในครั้งนี้ องค์คณะตุลาการฯ คาดหวังให้ ILO ปฏิบัติตามคำตัดสินภายใน ๓๐ วัน
ในการประชุมครั้งนี้ สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้นำเสนอถึงจำนวนเงินที่ยังไม่เพียงพอสำหรับจ่ายให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามอัตราที่คำนวณตามฐานตัวชี้วัดการจ่ายเงินสำหรับตำแหน่งที่ประจำการในนครเจนีวาที่แก้ไขใหม่ และนำเสนอถึงหนทางในการดึงงบประมาณส่วนอื่นเพื่อมาจ่ายในแทนส่วนที่ไม่เพียงพอ
คณะประศาสน์การมีมติ
(ก) ให้ผู้อำนวยการใหญ่ดำเนินมาตรการให้สามารถนำเงินสำรองมาจ่ายในส่วนที่ขาดอยู่จำนวน ๘.๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หากไม่สามารถทำได้ ให้เสนอหาหนทางอื่นทดแทน และ
(ข) ให้ผู้อำนวยการใหญ่เสนอวิธีการอื่นทดแทนทางการเงิน ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปลายงบประมาณรอบปี พ.ศ. ๒๕๖๑ – ๒๕๖๒ ในการประชุมคณะประศาสน์การในเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ถ้าจำเป็น
(ค) ขอให้ ILO หารือกับสหภาพของเจ้าหน้าที่ ILO เกี่ยวกับข้อเสนอใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขการทำงาน หรือการจ้างงานเจ้าหน้าที่ โดยการหารือทางสังคม และสอดคล้องกับกฎที่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่
๗.๓ แผนงานและงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒: บัญชีงบประมาณปกติ และกองทุนการทำงาน
รายงานการเก็บเงินสมทบจากรัฐสมาชิก ILO ในช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๖๒ มีข้อมูล ดังนี้
– ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่ไม่มีการค้างจ่ายเงินสมทบ โดยประเทศไทยจ่ายเงินสมทบเต็มจำนวนเป็นเงิน ๑,๑๐๖,๖๖๘ ฟรังค์สวิส
– ลำดับสัดส่วนการจ่ายเงินสมบทในกลุ่มอาเซียน คือ (๑) อินโดนีเซีย ร้อยละ ๐.๕๐๔ (๒) สิงคโปร์ ร้อยละ ๐.๔๔๗ (๓) มาเลเซีย ร้อยละ ๐.๓๓๒ (๔) ไทย ร้อยละ ๐.๒๙๑ (๕) ฟิลิปปินส์ ร้อยละ ๐.๑๖๕ (๖) เวียดนาม ร้อยละ ๐.๐๕๘ (๗) บรูไน ร้อยละ ๐.๐๒๙ (๘) เมียนมา ร้อยละ ๐.๐๑๐ (๙) กัมพูชา ร้อยละ ๐.๐๐๔ และ (๑๐) ลาว ร้อยละ ๐.๐๐๓
– ในบรรดารัฐสมาชิกทั้งหมดของ ILO ประเทศที่มีสัดส่วนการจ่ายสูงที่สุด ๓ อันดับแรก คือ (๑) สหรัฐฯ ร้อยละ ๒๒.๐๐ (๒) ญี่ปุ่น ร้อยละ ๙.๖๘๔ และ (๓) จีน ร้อยละ ๗.๙๖๔
– ประเทศที่ค้างจ่ายสะสมจำนวนสูงสุด ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ คือ สหรัฐฯ เป็นเงินจำนวน ๑๒๕,๘๓๔,๘๔๗ ฟรังค์สวิส
รายงานงบประมาณรายรับและรายจ่ายปกติของ ILO ในช่วง พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ซึ่งมีเนื้อหาสาระสำคัญ ดังนี้
– มีรายรับจาก
เงิบสมทบจากรัฐสมาชิกมีจำนวน ๕๔๘,๙๙๓,๖๐๘ ดอลลาร์สหรัฐฯ
เงินสมทบจากรัฐสมาชิกที่ค้างจ่ายจากปีงบประมาณที่แล้วจำนวน ๑๔๑,๙๒๖,๒๖๕ ดอลลาร์สหรัฐฯ
รวมเป็นรายรับทั้งหมดจำนวน ๖๙๐,๙๑๙,๘๗๓ ดอลลาร์สหรัฐฯ
– มีรายจ่ายปกติจำนวน ๖๔๕,๕๖๕,๕๘๙ ดอลลาร์สหรัฐฯ
เงินชดเชยการขาดดุล ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐ จำนวน ๗๐,๗๕๔,๐๙๘ ดอลลาร์สหรัฐฯ
– ทำให้มีงบประมาณขาดดุลจำนวน ๒๕,๓๙๐,๘๑๔ ดอลลาร์สหรัฐฯ
– โดยอาศัยความตามมาตรา ๒๑.๑ (เอ) ของข้อบังคับการเงิน ILO ได้นำเงินจากกองทุนการทำงานมาชดเชยส่วนงบประมาณที่ขาดุลจำนวน ๒๕.๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะนี้ ยังไม่สามารถแจกแจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายได้ครบทุกหมวดงบประมาณ แต่พบว่าในบางหมวดมีการใช้จ่ายเกินวงเงิน ทำให้จะต้องมีการโอนเงินเหลือจ่ายจากหมวดงบประมาณมาหักกลบ
คณะประศาสน์การอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๖ ของข้อบังคับการเงิน มีมติมอบอำนาจให้ประธานพิจารณาเรื่องการโอนเงินข้ามหมวดงบประมาณตามที่ผู้อำนวยการใหญ่เสนอ (หากมี) โดยให้ก่อนหมดรอบปีงบประมาณ
——————————————————————————–
ฝ่ายแรงงาน คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา
พฤศจิกายน ๒๕๖๒