สรุปประเด็นสำคัญของ
ILO Global Summit and the World of Work: Building a better future of Work
ช่วง Regional Day
วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๓
ที่ประชุมใหญ่ประจำปีขององค์การแรงงานระหว่างประเทศรับรองปฏิญญาแห่งศตวรรษเพื่ออนาคตของงาน เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๖๒ เพื่อเน้นย้ำถึงหน้าที่ความรับผิดชอบของ ILO และเพื่อเป็นแผนที่นำทางให้กับองค์กร โดยยึดแนวทางที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-Centered Approach) แต่เพียง ๙ เดือนหลังการรับรองปฏิญญา ก็เกิดการระบาดของโควิด-๑๙ โดยเชื้อไวรัสนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทั้งยังทำให้คนทำงานและสถานประกอบกิจการจำนวนมหาศาลตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากอย่างที่สุด โควิด-๑๙ ส่งผลร้ายในทุกด้านอย่างไม่เลือกปฏิบัติ และส่งผลกระทบที่ร้ายแรงยิ่งกว่าต่อกลุ่มผู้ด้อยโอกาสและกลุ่มผู้เปราะบาง หลังวิกฤตครั้งนี้ โลกแห่งงานทำงานจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ในการนี้ ILO จะยึดหลักและแนวทางตามปฏิญญาแห่งศตวรรษฯ เพื่อเป็นศูนย์กลางของโลกด้านแรงงานในการรับมือกับโควิด-๑๙ ในขณะที่หลายประเทศอยู่ในช่วงฟื้นฟูให้กลับคืนดังเดิม แต่หลายประเทศยังดิ้นรนให้รอดพ้นจากวิกฤต เราจึงต้องมาหาหนทางในการร่วมกันสร้างอนาคตของงานให้ดีกว่าเดิมสำหรับทุกคน
กิจกรรม ILO Global Summit ในช่วง Regional Day เป็นการนำเสนอถึงสถานการณ์แรงงานอันเป็นผลมาจากโควิด-๑๙ ในแต่ละภูมิภาค ตลอดจน การสรุปประเด็นสำคัญที่ได้จากกิจกรรม Regional Event และการเสนอความเห็นเกี่ยวกับการรับมือกับวิกฤตและวิธีสร้างอนาคตของงานให้ดีกว่าเดิมหลังผ่านพ้นช่วงวิกฤตโควิด-๑๙ จากผู้แทน ILO ประจำแต่ละภูมิภาค
การเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งการทำงานอันเป็นผลกระทบจากโควิด-๑๙ และสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ
Mr. Guy Ryder ผู้อำนวยการใหญ่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ
วิกฤตระดับโลกครั้งนี้ ทำให้หลายประเทศต้องใช้มาตรการจำกัดการเดินทาง ซึ่งส่งผลให้ในช่วงหกเดือนแรกของปีนี้ การทำงานเต็มเวลากว่า ๔๐๐ ล้านตำแหน่งต้องสูญเสียชั่วโมงการทำงาน เมื่อพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วพบว่า ทวีปอเมริกาได้รับผลกระทบมากที่สุด ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบร้ายแรง คือ การค้าปลีกและค้าส่ง การจัดหาอาหาร บริการที่พักอาศัย และสถานประกอบกิจการขนาดย่อม ขนาดเล็ก และขนาดกลาง ส่วนกำลังแรงงานที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างยิ่ง คือ ผู้ที่อยู่ในภาคเศรษฐกิจนอกระบบ ซึ่งไม่อยู่ภายใต้การคุ้มครองทางกฎหมายและไม่ได้รับการคุ้มครองทางสังคม วิกฤตครั้งนี้ยังทำให้เกิดการหยุดชะงักด้านการศึกษาในระบบและการฝึกอาชีพสำหรับผู้เยาว์ อันจะเป็นอุปสรรคต่อการเข้าสู่ตลาดแรงงานหรือการกลับมาทำงานในอนาคตของคนงานผู้เยาว์ ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบร้ายแรงนั้นมีแรงงานหญิงทำงานเป็นส่วนใหญ่ ทำให้แรงงานหญิงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ซึ่งรวมถึงผู้หญิงที่ทำงานให้กับครอบครัวโดยไม่ได้รับค่าจ้าง
ในการนี้ ขอให้ประเทศสมาชิกให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูวิสาหกิจให้กลับมาดำเนินธุรกิจต่อไปได้อันจะส่งผลให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ การคุ้มครองสิทธิแรงงาน การคุ้มครองสุขภาพอนามัยของคนทำงาน และสุดท้าย คือ การเจรจาทางสังคม โดยขอให้รัฐบาลหารือกับหุ้นส่วนทางสังคมในการหาหนทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ แต่ละภูมิภาคประสบปัญหาจากโควิดในลักษณะที่แตกต่างกัน และต่างมีศักยภาพในการจัดการกับวิกฤตที่ไม่เท่ากัน จึงจำเป็นต้องรับฟังข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อให้ทราบถึงประเด็นท้าทายที่เกิดขึ้นและแนวทางจัดการกับปัญหา
ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
Ms. Tomoko Nishimoto ผู้อำนวยการ ILO ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
ชั่วโมงการทำงานที่สูญเสียไปไม่ได้เป็นเพียงจำนวนตัวเลข แต่หมายถึงวิถีการดำรงชีวิตที่ต้องเปลี่ยนไป สถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกเป็นความจริงที่น่าอึดอัด เนื่องจากมีความไม่เท่าเทียมด้านความสามารถในการรับมือกับวิกฤต ถึงแม้หลายรายจะยังคงมีงานทำ แต่ก็เป็นการทำงานที่ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ (working poor) สองในสามของคนทำงานในภูมิภาคนี้อยู่ในภาคเศรษฐกิจนอกระบบ ซึ่งมีข้อจำกัดในการได้รับสิทธิประโยชน์ทางสังคม แม้สถานประกอบกิจการหลายแห่งจะพยายามดำเนินธุรกิจต่อไป แต่สถานประกอบกิจการเหล่านี้จะไม่สามารถอยู่รอดจนผ่านพ้นวิกฤตไปได้ หากโควิด-๑๙ คงอยู่กับเราไปนานกว่าที่คาดการณ์ไว้
ILO พร้อมให้ความร่วมมือกับสมาชิกทั้ง ๓ ฝ่าย ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการรับมือกับวิกฤติ ILO ยังได้ทำการประเมินผลกระทบที่มีต่อการจ้างงานอยู่เป็นระยะ เพื่อให้ประเทศสมาชิกได้นำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบาย นอกจากนี้ ILO ยังพร้อมให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ด้านการพัฒนาระบบการคุ้มครองทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขยายความคุ้มครองทางสังคมให้ครอบคลุมกลุ่มผู้เปราะบาง ทั้งนี้ ILO ไม่ต้องการให้มีการยกเอาวิกฤตมาเป็นเหตุในการละเลยสิทธิแรงงาน จึงมุ่งส่งเสริมให้นำการเจรจาทางสังคมมาเป็นกลไกหลักในการรับมือกับวิกฤติ เพื่อเกิดการฟื้นฟูอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน ทั้งนี้ ILO ยังได้ทำงานร่วมกับองค์กรอื่น ๆ ภายใต้สหประชาชาติ เพื่อให้การดำเนินงานต่าง ๆ เป็นไปตามกรอบงานของสหประชาชาติ
หลักสำคัญ ๓ ประการในการรับมือกับวิกฤติโดยให้สอดคล้องกับเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ คือ
(๑) การมีความมุ่งมั่นและใช้ความพยายามอย่างเต็มความสามารถ เพื่อฟื้นฟูให้กลับมาแข็งแกร่งและดีกว่าเดิม
(๒) การให้ความสำคัญกับ Human-centered Approach ในขั้นตอนการฟื้นฟู อันรวมถึง การเตรียมความพร้อมให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้สามารถดำรงชีพในวิถีชีวิตใหม่หลังช่วงวิกฤติ
(๓) การทำงานร่วมกัน ทั้งในรูปแบบไตรภาคีตามโครงสร้างของ ILO การเจรจาทางสังคม การปรึกษาหารือ เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับสิทธิประโยชน์ร่วมกัน โดยกลุ่มประเทศเอเชียและแปซิฟิกจะได้หารือเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันต่อไปในการประชุมระดับภูมิภาคในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๖๔ ซึ่งมีสิงคโปร์เป็นเจ้าภาพ
กลุ่มประเทศอาหรับ
Mr. Frank Hagemann รักษาการผู้อำนวยการ ILO ประจำภูมิภาคอาหรับ
โควิด-๑๙ ไม่ใช่วิกฤตด้านสุขภาพแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นวิกฤตทางเศรษฐกิจและเป็นภัยต่อการมีงานทำอีกด้วย แน่นอนว่า แต่ละภูมิภาคมีความหลากหลาย แต่ละประเทศได้รับผลกระทบในลักษณะแตกต่างกันไป แต่ที่เกิดขึ้นเหมือนกันในทุกที่ คือ การขาดอุปสงค์ทางการบริโภค การค้าขายลดลง และการผลิตหยุดชะงัก ซึ่งล้วนแต่ส่งผลให้เกิดการว่างงาน ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือน กลุ่มประเทศอาหรับต้องสูญเสียตำแหน่งงานไปกว่าแปดล้านตำแหน่ง อัตราการทำงานต่ำระดับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดก็คือ กลุ่มด้อยโอกาส อันได้แก่ ผู้หญิง แรงงานต่างด้าว ผู้อพยพลี้ภัย และแรงงานนอกระบบ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ กลุ่มประเทศอาหรับต้องเผชิญกับวิกฤตต่าง ๆ มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งภายในหรือสงคราม แต่วิกฤตโควิด-๑๙ มาซ้ำเติมให้เกิดผลกระทบที่เลวร้ายยิ่งขึ้น รัฐบาลแต่ละประเทศต่างดำเนินมาตรการมากมายเพื่อช่วยเหลือประชาชนของตน รัฐบาลบางประเทศยังอยู่ในช่วง การให้ความช่วยเหลือในระยะสั้น อันได้แก่ การรักษาตำแหน่งงาน การกระตุ้นเศรษฐกิจ การช่วยเหลือภาคธุรกิจให้ดำเนินการต่อไปได้ การอุดหนุนค่าจ้างของคนทำงาน ซึ่ง ILO ได้เข้าช่วยด้านการวางแผนแจกจ่ายความช่วยเหลือต่าง ๆ และร่วมมือกับองค์กรของนายจ้างและของลูกจ้างเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยในสถานที่ทำงาน ขณะเดียวกันรัฐบาลบางประเทศได้ก้าวพ้นการให้ความช่วยเหลือระยะสั้นมาเป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทางธุรกิจและตลาดแรงงานแล้ว ประเทศเหล่านี้ได้ถือวิกฤตเป็นโอกาสในการปรับปรุงจุดอ่อนที่มีในโครงสร้างต่าง ๆ เช่น การปรับปรุงนโยบายการมีงานทำให้สามารถรองรับวิกฤตอื่น ๆ ที่อาจมีในอนาคตได้ การขยายการคุ้มครองทางสังคมให้ครอบคลุมมากขึ้น การเพิ่มสิทธิประโยชน์จากระบบประกันสังคม เป็นต้น
สิ่งสำคัญที่กลุ่มประเทศอาหรับต้องการเน้นย้ำ คือ
– การเรียกร้องให้มีการร่วมมือกันภายในภูมิภาค และการร่วมทำงานกับองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ เนื่องจากวิกฤตครั้งนี้รุนแรงเกินกว่าจะรับมือได้เพียงลำพัง
– การส่งเสริมภาคธุรกิจต้องดำเนินควบคู่ไปกับการคุ้มครองสิทธิแรงงาน
– รัฐบาลต้องให้การคุ้มครองทางสังคมระยะสั้น เช่น การอุดหนุนค่าจ้างของคนทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนทำงานที่เป็นกลุ่มด้อยโอกาส ส่วนในระยะยาวนั้น รัฐบาลต้องสร้างระบบการคุ้มครองทางสังคมให้เข้มแข็งและครอบคลุมทุกด้านสำหรับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แรงงานต่างด้าวควรได้รับการคุ้มครองในระดับเดียวกับคนงานที่เป็นคนชาติ
– การเจรจาทางสังคมเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการหาหนทางแก้ไขปัญหา
– ในการกำหนดนโยบายและมาตรการเพื่อสร้างอนาคตของงานนั้น ต้องคำนึงถึงมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศและหลักการของปฏิญญาแห่งศตวรรษฯ
กลุ่มประเทศแอฟริกา
Ms. Cynthia Samuel-Olonjuwon ผู้อำนวยการ ILO ประจำภูมิภาคแอฟริกา
คนทำงานกว่า ๒๖๕ ล้านคนในกลุ่มประเทศแอฟริกาตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ในไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๖๓ แอฟริกาสูญเสียชั่วโมงการทำงานไปจำนวนมาก เทียบเท่ากับการสูญเสียการทำงานเต็มเวลาประมาณ ๔๕ ล้านตำแหน่ง จำนวนของแรงงานเด็ก แรงงานต่ำระดับ และแรงงานนอกระบบ มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยร้อยละ ๙๓.๔ ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศแอฟริกาเป็นภาคนอกระบบ คนทำงานน้อยกว่าร้อยละ ๑๘ ที่เข้าถึงระบบความคุ้มครองทางสังคม แรงงานหญิงเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ความไม่เท่าเทียมทางเพศในการทำงานมีมากขึ้น สิทธิแรงงานถูกละเมิด ผลประกอบการของภาคธุรกิจตกต่ำ หลายแห่งเสี่ยงต่อการล้มละลาย จากสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอยและการปิดโรงเรียนเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสทำให้คาดการณ์ได้ว่า จะมีเด็กประมาณ ๗๒ ล้านคนออกมาทำงาน และไม่สามารถกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ ซึ่งจะทำให้ภูมิภาคแอฟริกาไม่มีเด็กที่มีคุณภาพเพียงพอต่อการสร้างอนาคตของชาติ แรงงานนอกระบบซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางอยู่แล้วในสถานการณ์ปกติ เนื่องจากไม่ได้รับความคุ้มครองทางสังคม และหลายคนได้รับค่าจ้างต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ทำให้ไม่มีเงินออม จึงไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายได้ วิกฤตโควิด-๑๙ เปิดเผยให้เห็นสภาพความเป็นจริงต่าง ๆ ได้ชัดขึ้น ได้แก่ สภาพการทำงานที่ขาดซึ่งสิทธิขั้นพื้นฐาน แรงงานนอกระบบที่มีเป็นจำนวนมากแต่กลับไม่ได้รับการมองเห็น ทั้งยังไม่ปรากฎอยู่ในนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล เราควรถือโอกาสนี้แก้ไขสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้น ปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้ดีขึ้นให้นำมาซึ่งความยุติธรรมทางสังคมโดยคำนึงถึงเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ประเด็น ท้าทายในการฟื้นฟูของภูมิภาคนี้ คือ การทำอย่างไรให้มีข้อมูลที่ถูกต้องและเพียงพอต่อการวางนโยบายและกำหนดมาตรการต่าง ๆ
ILO กระตุ้นให้ภูมิภาคนี้ทำการปรับปรุงระบบความคุ้มครองทางสังคม โดยมี ๒ โครงการที่สำคัญ คือ การเข้าช่วยรัฐบาลโมซัมบิกดำเนินมาตรการคุ้มครองทางสังคม โดยความร่วมมือจากธนาคารโลก และ UNICEF และการร่วมมือกับรัฐบาลตูนิเซียและหุ้นส่วนทางสังคมในการยกร่างกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจเชิงสังคมที่เป็นปึกแผ่น (social and solidarity economy) ซึ่งเพิ่งมีผลบังคับใช้เมื่อไม่นานมานี้ อันถือเป็นการปฏิรูปทางกฎหมายครั้งสำคัญในประเทศ เนื่องจากกฎหมายมีเนื้อหาที่ครอบคลุมทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งทั้ง ๒ โครงการนี้สำเร็จลุล่วงได้โดยการเจรจาทางสังคม การเจรจาทางสังคมเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับวิกฤติ ทั้งในระดับภูมิภาค ระดับประเทศ ไปจนถึงระดับสถานประกอบกิจการ สิ่งสำคัญสำหรับแอฟริกา คือ การเปลี่ยนภาคเศรษฐกิจนอกระบบให้มาอยู่ในระบบ ซึ่ง ILO จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ดำเนินการได้สำเร็จ เช่นเดียวกับที่ช่วยให้ประเทศตูนิเซียออกกฎหมายที่ครอบคลุมไปถึงภาคเศรษฐกิจนอกระบบได้สำเร็จ ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายในภูมิภาคนำปฏิญญาอาเซอร์ไบจาน ซึ่งรับรองในการประชุมระดับภูมิภาคแอฟริกา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาใช้ในการรับมือกับวิกฤต การฟื้นฟูให้กลับมาดีกว่าเดิม และการสร้างอนาคตของงาน
ภูมิภาคยุโรปและเอเชียกลาง
Mr. Heinz Koller ผู้อำนวยการ ILO ภูมิภาคยุโรปและเอเชียกลาง
สิ่งที่พบเห็นได้ในภูมิภาคนี้ คือ การงานมีให้ทำน้อยลง คนทำงานต้องเผชิญกับการถูกลดค่าจ้างหรือถูกเลิกจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนทำงานของสถานประกอบกิจการขนาดย่อม ขนาดเล็ก และขนาดกลาง ในยุโรปตะวันออก คนงานในกลุ่มเปราะบางที่ไม่ได้รับความคุ้มครองทางสังคมในเอเชียกลาง เช่น แรงงานต่างด้าว ที่ต้องฝากชีวิตตนเองและครอบครัวไว้กับนายจ้าง โดยไม่มีหลักประกันอื่นทางสังคม และผู้ทำงานด้านการแพทย์และการดูแลรักษาสุขภาพในยุโรปตะวันตก ซึ่งทำงานที่มีความเสี่ยงสูงและทำงานหนักโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนเพิ่ม แต่ในความเป็นจริงยังมีผู้ที่ได้รับผลกระทบร้ายแรงจากวิกฤตครั้งอีกนี้ คือ แรงงานนอกระบบ คนที่ทำงานโดยไม่มีรูปแบบมาตรฐาน (non-standard form of work) แรงงานหญิงซึ่งส่วนใหญ่ทำงานในภาคเศรษฐกิจที่ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากวิกฤตและผู้หญิงที่ทำงานดูแลสมาชิกครอบครัวโดยไม่ได้รับค่าจ้าง คนงานผู้เยาว์ และคนงานสูงอายุ ทั้งนี้ การยอมรับในการเจรจาทางสังคม หลักการด้านสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน และมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ อาจก่อให้เกิดความยากลำบากในการดำเนินงาน แต่เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในการแก้ไขปัญหา
ภูมิภาคยุโรปและเอเชียกลางมีความตื่นตัวอย่างยิ่งในการรับมือกับวิกฤต หลายรัฐบาลได้จัดทำโครงการช่วยเหลือต่าง ๆ เข้าสนับสนุนภาคธุรกิจ อุดหนุนรายได้ประชาชน และขยายความคุ้มครองทางสังคมให้เพียงพอ โดย ILO ทำงานอย่างใกล้ชิดกับสมาชิกทั้ง ๓ ฝ่าย และผู้ที่เกี่ยวข้องในภูมิภาค ในด้าน
– การสนับสนุนข้อมูลและให้คำแนะนำกับรัฐบาลเพื่อจัดทำแนวปฏิบัติที่ดีภายในประเทศ ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการเกิดวิกฤติ
– การช่วยเหลือเพื่อประเมินอย่างเร่งด่วนถึงผลกระทบต่อตลาดแรงงาน การกำหนดมาตรการรองรับ และการจัดทำวิธีติดตามผลการดำเนินมาตรการดังกล่าว
– การจัดทำคู่มือและให้คำแนะนำด้านการประเมินประสิทธิภาพการรับมือกับวิกฤตของระบบความคุ้มครองทางสังคมที่มีอยู่
– การส่งเสริมสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานที่เหมาะสมกับสถานการณ์
ILO มุ่งหวังให้ภูมิภาคนี้ยังคงให้ความสำคัญกับการเจรจาทางสังคมในทุก ๆ ด้านต่อไป ทั้งในการกำหนดนโยบายหรือในการหาหนทางแก้ไขปัญหา โดย ILO เองจะส่งเสริมให้เกิดการนำปฏิญญาแห่งศตวรรษเพื่ออนาคตของงานมาปฏิบัติ การให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับที่ ๑๙๐ ว่าด้วยความรุนแรงและการล่วงละเมิด ค.ศ. ๒๐๑๙ และการยกระดับอนุสัญญาในหมวดอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานให้เป็นหนึ่งในหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน
ทวีปอเมริกา
Mr. Vinicius Pinheiro ผู้อำนวยการ ILO ภูมิภาคละตินอเมริกาและคาริบเบียน
โควิด-๑๙ ทำให้ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงบริการพื้นฐานของรัฐเพิ่มมากขึ้น แรงงานบางกลุ่มสามารถใช้เทคโนโลยีมาช่วยแก้ไขปัญหาการทำงานในช่วงวิกฤตได้ เช่น การทำงานออนไลน์ เป็นต้น แต่ก็มีหลายกลุ่มที่ไม่มีหนทางแก้ไขปัญหาในการทำงาน เช่น คนงานทำงานบ้าน เป็นต้น แต่แรงงานทุกกลุ่มล้วนได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้ คนงานในระบบต้องเปลี่ยนวิธีและรูปแบบการทำงาน และไม่มีความมั่นคงในอนาคตของงาน อันเป็นการตอกย้ำว่า การแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ ส่งผลกระทบโดยไม่เลือกปฏิบัติ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุด คือ แรงงานหญิง โดยเฉพาะแรงงานหญิงที่เป็นชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานนอกระบบ ไม่ได้รับความคุ้มครองทางสังคม และเข้าไม่ถึงบริการพื้นฐานต่าง ๆ ของรัฐ
ILO ได้เข้าส่งเสริมให้รัฐบาลเร่งให้ความคุ้มครองทางสังคมตั้งแต่ช่วงที่เริ่มเกิดวิกฤต จนถึงช่วงที่มีมาตรการ lockdown ทั้งยังเป็นสื่อกลางในการรับฟังข้อมูลความเดือนร้อนของฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้รัฐบาลได้นำไปประกอบการวางนโยบายและกำหนดมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ โดย ILO เองก็ได้ดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหา เช่น การจัดฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะให้กับผู้ประกอบการหญิง โครงการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าว โครงการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน เป็นต้น ทั้งนี้ ILO อยู่ระหว่างการส่งเสริมให้รัฐบาลออกนโยบายเฉพาะสำหรับแรงงานแต่ละกลุ่มซึ่งมีลักษณะหรือสภาพการทำงานแตกต่างกัน
สิ่งสำคัญที่ภูมิภาคนี้ต้องดำเนินการเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้และเพื่อฟื้นฟูให้กลับมาดีกว่าเดิม คือ
๑. การขยายความคุ้มครองทางสังคมให้ครอบคลุมถึงแรงงานนอกระบบ ซึ่งทุกฝ่ายทราบดีว่าเป็นเรื่องยาก แต่ขอให้เริ่มลงมือทำในจุดที่สามารถทำได้ และค่อย ๆ ขยายออกไปจนครอบคลุมโดยสมบูรณ์
๒. การคุ้มครองแรงงานอย่างจริงจัง ซึ่งประเด็นที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากวิกฤตนี้ทำให้รัฐบาลบางประเทศละเลยสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงานของคนงาน นายจ้างหลายรายถือโอกาสละเมิดสิทธิแรงงาน แต่ก็เป็นที่น่ายินดีว่า ยังคงมีรัฐบาลที่แสดงออกถึงมุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานแรงงานแม้ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ อันได้แก่ รัฐบาลเม็กซิโกที่ให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับที่ ๑๘๙ ว่าด้วยคนงานทำงานบ้าน และรัฐบาลอุรุกวัยที่ให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับที่ ๑๙๐ ว่าด้วยความรุนแรงงานและการล่วงละเมิด
๓. การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ ให้รองรับการทำงานรูปแบบใหม่ รวมถึงให้สามารถประกอบอาชีพที่เกิดขึ้นใหม่ในตลาดแรงงานได้
ในการนี้ ILO ขอเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกในภูมิภาคนี้ ถือเอาวิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสในการพิจารณาถึงข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่มีในระบบหรือโครงสร้าง และทำการแก้ไขหรือปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยคำนึงถึงการเจรจาทางสังคมในการดำเนินงาน
หนทางในการสร้างอนาคตของงานที่ดีกว่าเดิม
Mr. Guy Ryder ผู้อำนวยการใหญ่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ
การที่แต่ละภูมิภาคได้สื่อสารและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันในวันนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นในการทำงานร่วมกันระดับโลก สิ่งสำคัญที่เห็นได้ชัดในทุกภูมิภาค คือ พวกเราไม่มองย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของวิกฤต แต่พยายามที่จะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้ และมองไปข้างหน้าว่า สถานการณ์หลังวิกฤตจะเป็นอย่างไร ซึ่งปฏิญญาแห่งศตวรรษเพื่ออนาคตของงานสามารถตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดี วิกฤตครั้งนี้ก่อให้เกิดความพยายามแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่มีอยู่ เช่น การให้ความคุ้มครองทางสังคมขั้นพื้นฐานที่ไม่ทั่วถึง การปล่อยให้แรงงานจำนวนมากตกอยู่ในสภาพด้อยโอกาสโดยการทำงานในภาคเศรษฐกิจนอกระบบ เป็นต้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เราเตรียมความพร้อมและมุ่งมั่นสร้างอนาคตของงาน แต่ปัญหาอุปสรรคที่รอเราอยู่ คือ
๑. การสร้างความสมดุลระหว่างประเด็นสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ให้กับบริบทแรงงานในอนาคต อนาคตของงานต้องไม่ใช่การเลือกว่าจะให้ความสำคัญเศรษฐกิจ โดยละเลยประเด็นสุขภาพ หรือสังคม
๒. รัฐบาลต่างทุ่มเทงบประมาณจำนวนมากเพื่อให้นายจ้างสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้และให้ลูกจ้างยังคงมีงานทำ แต่จะทำอย่างไรให้รัฐบาลสามารถพยุงสถานการณ์จนผ่านพ้นช่วงวิกฤต โดยประเทศไม่ประสบปัญหาทางการเงิน ซึ่งจะทำให้การฟื้นฟูไม่ประสบผลสำเร็จ
๓. วิกฤตครั้งนี้เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งจำเป็นต้องมีการรับมือในระดับระหว่างประเทศ แต่ในความเป็นจริง คือ ยังมีบางประเทศที่ต่อสู้กับวิกฤตนี้เพียงลำพัง ขาดความสมัครสมานในระดับสากล ขาดการมีเป้าประสงค์ร่วมกันระหว่างประเทศ ขาดการร่วมต่อสู้กับวิกฤตในฐานะประชาคมโลก
ในการรับมือกับวิกฤติเพื่อสร้างอนาคตของงานให้ดีกว่าเดิม ขอให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงกลุ่มเปราะบางเป็นสำคัญ ซึ่งหมายรวมถึง บุคลากรทางการแพทย์และสุขภาพอนามัย ที่เป็นด่านหน้าในการเผชิญกับโควิด-๑๙ และขอให้มีการเจรจาทางสังคมในทุกด้าน
—————————————————–
ฝ่ายแรงงาน คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา