Skip to main content

หน้าหลัก

สรุปสาระสำคัญจากการอภิปราย เรื่อง ผลการวิจัยระดับโลกและการแลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็น Towards a brighter future of work in the digital economy

สรุปสาระสำคัญจากการอภิปราย เรื่อง

ผลการวิจัยระดับโลกและการแลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็น

Towards a brighter future of work in the digital economy

วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๘.๐๐-๑๑.๒๐ น. (เวลาท้องถิ่นยุโรปกลาง)

 

วัตถุประสงค์การจัดอภิปราย

การอภิปรายครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอประเด็นการขาดแคลนฝีมือแรงงาน การพัฒนาฝีมือแรงงาน และการจัดการการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศ ในภาคเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information Communication Technology: ICT) อันเป็นผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการวิจัย “The Future of Work in Information and Communication Technology” และเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องได้อภิปรายแลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์ระหว่างกัน

 

ผลจากโครงการวิจัย

โครงการวิจัย “The Future of Work in Information and Communication Technology” ของ ILO มุ่งศึกษาประเด็น ความต้องการแรงงานมีฝีมือด้าน ICT ของตลาดแรงงาน การขยายการลงทุนในการศึกษาและฝึกอบรมด้าน ICT และการบริหารจัดการการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือระหว่างประเทศในภาค ICT โดยมีพื้นที่ดำเนินโครงการ คือ ประเทศแคนาดา จีน เยอรมนี อินเดีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และไทย ระยะเวลาดำเนินโครงการ คือ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๓

                   จากการดำเนินโครงการวิจัยพบว่า ธุรกิจ ICT เจริญเติบโตขึ้นอย่างมหาศาลในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นด้านการให้บริการ ICT หรือกิจกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ จากธุรกิจ ICT ทั้งนี้ การทำงานในภาค ICT เป็นอาชีพที่จำเป็นต้องได้รับการศึกษาเฉพาะทาง และเป็นอาชีพที่มีอัตราค่าตอบแทนสูง อัตราการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศของผู้เชี่ยวชาญด้าน ICT เพิ่มขึ้นทุกปี โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า มีเพศหญิงทำงานในสาขาอาชีพนี้ในจำนวนน้อยมาก

                   สิ่งที่ตลาดแรงงานต้องการจากแรงงานมีฝีมือในภาค ICT คือ

(ก) เป็นผู้มีทักษะด้านอารมณ์และสังคม (soft skills) เพิ่มเติมจากการมีทักษะเฉพาะทางในอาชีพ (hard skills)

(ข) เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในวิชาชีพของตน และมีความรู้รอบตัวในศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง (interdisciplinary skills) และ

(ค) เป็นผู้ที่มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต (lifelong learning) เพื่อให้พร้อมในการปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยี

                   ผู้เชี่ยวชาญด้าน ICT เป็นสาขาอาชีพหนึ่งที่ตลาดแรงงานมีความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และจะเกิดการขาดแคลนแรงงานมีฝีมือด้าน ICT ในอนาคต การขาดแคลนแรงงานมีฝีมือด้าน ICT จะมีมากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละสาขาอาชีพขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ต้องใช้ในระบบการศึกษา ปัจจัยประการหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงานมีฝีมือด้าน ICT ในอนาคต คือ การเปลี่ยนไปใช้ระบบดิจิทัลเพิ่มมากขึ้นในการดำรงชีวิตประจำวันและการทำงานตามรูปแบบฐานวิถีชีวิตใหม่ ตลอดจน การพัฒนาเทคโนโลยีและการเกิดสาขาอาชีพใหม่เพื่อรองรับเทคโนโลยีดังกล่าว โดยที่แรงงานไม่สามารถพัฒนาความรู้และทักษะฝีมือได้ทันตามการเปลี่ยนแปลง ซึ่งสาเหตประการหนึ่งมาจากการศึกษาในระบบที่ไม่เอื้อต่อการผลิตทรัพยากรมนุษย์ได้ทันต่อความต้องการของตลาดแรงงานและการเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยี

 

 

 

คำแนะนำในทางปฏิบัติสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้อง

๑.   ลงทุนด้านการให้ความรู้หรือพัฒนาทักษะฝีมือด้าน ICT เพื่อรองรับอาชีพที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต

๒.   เพิ่มการลงทุนในสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยหรือระดับวิชาชีพขั้นสูง รวมถึงบุคลากรที่ทำการสอนด้าน ICT

๓.   ส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้ารับการศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม เทคโนโลยี และคณิตศาสตร์ (STEM education) มากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถเป็นแรงงานมีทักษะด้าน ICT ได้ในอนาคต

๔.   ลดช่องว่างระหว่างทักษะฝีมือที่ตลาดแรงงานต้องการ กับทักษะฝีมือที่มหาวิทยาลัยหรือสถาบันด้านอาชีวศึกษาเปิดรับสมัคร

๕.   ให้ความสำคัญกับการสอน soft skills ในมหาวิทยาลัยและสถาบันด้านอาชีวศึกษา

๖.   ส่งเสริมให้นักศึกษา ผู้ฝึกงาน และคนทำงาน มีความรู้รอบตัวในศาสตร์อื่น ๆ ในภาค ICT นอกเหนือจากความรู้เฉพาะด้านในสาขาอาชีพของตน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงาน และสร้างศักยภาพด้านการพัฒนาฝีมือแรงงานในสาขาอื่นสำหรับเป็นทางเลือกในการประกอบอาชีพตามความต้องการของตลาดแรงงาน

๗.   ลงทุนในระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการอบรมอย่างต่อเนื่องด้าน ICT

๘.   ยอมรับในแรงงานต่างชาติที่มีฝีมือด้าน ICT และมีประสบการณ์การทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสาขาอาชีพที่ขาดแคลนแรงงาน

๙.   ลดเงื่อนไขการเข้าประเทศและการขอใบอนุญาตทำงานให้กับคนต่างชาติที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน ICT

๑๐. ส่งเสริมการเจรจาทางสังคม ความร่วมมือ และการทำงานร่วมกัน ระหว่างหุ้นส่วนทางสังคมและภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงอุตสาหกรรม

 

การอภิปรายแลกเปลี่ยนในประเด็นการลงทุนด้านการพัฒนาทักษะฝีมือในภาค ICT

–     รัฐบาลแคนาดาให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการพัฒนาด้าน ICT จึงได้ตั้งสภาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งแคนาดา (Information and Communications Technology Council: ICTC) ขึ้นมาเพื่อเป็นคลังสมองด้าน ICT ของประเทศ มีหน้าที่ความรับผิดชอบที่สำคัญ คือ ทำการวิจัยและนำเสนอนโยบายต่าง ๆ ด้าน ICT คาดการณ์แนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ด้าน ICT พัฒนาและดูแลระบบตลาดแรงงานอัจฉริยะ (labour market intelligence) สำรวจความต้องการทักษะอาชีพด้าน ICT (ICT Skill Mapping) ลงทุนด้าน ICT เสนอแนวทางการศึกษาด้าน ICT นำเสนอผลกระทบทางสังคมที่เกิดจาก ICT และจัดทำโครงการเสริมสร้างศักยภาพด้าน ICT ให้กับเยาวชน สตรี ผู้เริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงาน และคนทำงานที่ต้องการยกระดับฝีมือแรงงานด้าน ICT ทั้งนี้ การดำเนินงานของ ICTC มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้แคนาดาสร้างแรงงานมีฝีมือด้าน ICT ได้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน ทั้งนี้ ประเทศแคนาดาได้คาดการณ์ไว้ว่า ในปี พ.ศ. ๒๕๗๑ ตลาดแรงงานแคนาดาจะมีความต้องการแรงงานมีฝีมือด้าน ICT เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๔๐  

–     ใน พ.ศ. ๒๕๖๒ สิงคโปร์ได้รับการจัดลำดับให้เป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจด้านตลาดแรงงานเป็นอันดับ ๑ ของโลก และด้านการใช้ ICT เป็นอันดับ ๕ ของโลก โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ คือ สิงคโปร์เป็นประเทศแรก ๆ ที่จะเข้าลงทุนในกิจการเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่เสมอ เป็นประเทศศูนย์กลางทางการเงินโดยใช้ระบบดิจิตอล มีระบบเชื่อมต่อข้อมูลทางดิจิตอลที่ใช้งานง่ายและมีความปลอดภัยสูง นอกจากนั้น ร้อยละ ๒๓ ของ start-up ในสิงคโปร์ยังเป็นกิจการในภาค ICT และกว่าร้อยละ ๖๐ ของตำแหน่งงานภาค ICT ในสิงคโปร์ยังเป็นตำแหน่งงานที่เกิดขึ้นใหม่ตามการพัฒนาของเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ก็ยังคงมีปัญหาขาดแคลนแรงงานมีฝีมือ โดยงานที่มีตำแหน่งงานว่างมากที่สุด คือ งานวิชาชีพระดับสูงด้าน ICT เช่น นักพัฒนาซอฟท์แวร์ นักวิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์   เป็นต้น ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าในอีก ๓ ปีข้างหน้า ตลาดแรงงานสิงคโปร์จะมีความต้องการผู้ชำนาญการด้าน ICT เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตำแหน่งที่ปรึกษาด้าน IT วิศวกรระบบข้อมูล Cloud นักวิเคราะห์ข้อมูลระบบคอมพิวเตอร์ นักออกแบบระบบแก้ปัญหาซอฟท์แวร์ และวิศวกรด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์  

–     รัฐบาลญี่ปุ่นต้องเพิ่มการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ให้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากใน พ.ศ. ๒๕๖๘ ญี่ปุ่นจะขาดแคลนแรงงานมีฝีมือด้าน IT ประมาณสี่แสนกว่าตำแหน่ง โดยคาดการณ์จากอายุของแรงงานมีฝีมือด้าน IT ในปัจจุบัน และแนวโน้มความก้าวหน้าของวงการ IT ทั้งนี้ จากสถานการณ์การดำรงชีวิตและการทำงานแบบ new normal เช่นในปัจจุบัน สถานประกอบการต้องให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีดิจิตอล มาใช้ในการทำงาน (Digital Transformation: DX) มิฉะนั้นอาจเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ในธุรกิจ  ภาคธุรกิจทั่วไปที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับด้านการพัฒนาระบบ IT โดยตรง ก็จำเป็นต้องมีแผนก IT ของตนเองเพื่อรองรับ DX ภายในองค์กร บุคลาการด้าน IT คือ ทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญและจำเป็นต่อทุกภาคธุรกิจ ทั้งภาคธุรกิจด้านการพัฒนาระบบ IT โดยตรง และภาคธุรกิจที่เป็นผู้นำระบบ IT มาใช้งาน (user) ดังนั้นภาคส่วนที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะและสร้างความมั่นคงในการทำงานให้กับบุคลากรด้าน IT ในทุกภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างระบบความก้าวหน้าในการทำงาน การกำหนดเงื่อนไขการจ้างงานที่ดี และการมีสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสมกับการลักษณะเฉพาะของงานด้าน IT เพื่อดึงดูดให้คนรุ่นใหม่ก้าวเข้าสู่วงการ IT มากยิ่งขึ้น และเพื่อให้บุคลากรด้าน IT ที่มีอยู่ไม่เปลี่ยนสายงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคลาการด้าน IT ในองค์กรหรือสถานประกอบการที่เป็น IT user ซึ่งมักจะเปลี่ยน  สายงานเพื่อความก้าวหน้าหรือค่าตอบแทนที่สูงขึ้น       

–     ตัวอย่างของบริษัทที่มีการปรับตัวรองรับการใช้ IT เพื่อเข้าสู่ยุค new normal คือ บริษัท FUJITSU ที่ให้ความสำคัญและมีแนวทางที่ชัดเจนด้าน DX ภายในองค์กร ตลอดจน มีนโยบายส่งเสริมและให้คำแนะนำด้าน DX ให้กับลูกค้าของบริษัท จากการประเมินพบว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับ DX ส่งผลให้บริษัทมีผลิตภาพสูงขึ้น ทุกภาคส่วนของบริษัทมีการใช้ DX ไม่ว่าจะเป็นงานบริหาร งานสนับสนุน และงานด้านการผลิต บริษัทจำเป็นต้องใช้งานผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะสูงด้าน IT เพื่อสร้างระบบ DX ให้กับองค์กร และจำเป็นต้องลงทุนด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ภายในองค์กร เพื่อให้ลูกจ้างจำนวนกว่า ๑๓๐,๐๐๐ คน มีความรู้ความสามารถรองรับ DX นอกจากนั้น บริษัทยังได้ให้ความสำคัญการพัฒนาความรู้ด้าน IT ให้กับบุคลากรตามลักษณะงานที่ทำ

 

การอภิปรายแลกเปลี่ยนในประเด็นการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศในภาค ICT

–     อินเดียเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ด้าน IT ให้กับตลาดแรงงานระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุนทำการผลิตหรือพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ   โดยมีทรัพยากรมนุษย์ด้าน IT รองรับอย่างเพียงพอ หรือการออกไปทำงานในต่างประเทศของผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ชาวอินเดีย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ของอินเดียจะกระจายออกไปทำงานในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ตลาดใหญ่ของผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ชาวอินเดีย คือ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และแคนาดา จากการสำรวจพบว่า ร้อยละ ๖๐ ของผู้เชี่ยวชาญต่างชาติด้าน IT ใน สหราชอาณาจักรเป็นผู้มีสัญชาติอินเดีย อย่างไรก็ตาม ข้อห้ามต่าง ๆ ด้านการเดินทางระหว่างประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ ส่งกระทบอย่างรุนแรงต่อการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือระหว่างประเทศในภาค ICT โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ที่รับผิดชอบงานโครงการในประเทศต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต้องมีการเดินทางข้ามประเทศอยู่เสมอ

–     เงื่อนไขสำคัญ ๒ ประการแรกสำหรับประชาชนนอกกลุ่มอียูที่ประสงค์จะเข้ามาทำงานภาค IT ในเยอรมนี คือ (๑) ต้องมีประสบการณ์ทำงานในตำแหน่งงานที่สมัคร โดยรัฐบาลเยอรมนีไม่อนุญาตให้บุคลากรด้าน IT ที่ไม่มีประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งงานนั้น จากประเทศนอกกลุ่มอียู เข้ามาทำงานในเยอรมนี แม้จะมีหนังสือรับรองการจ้างจากนายจ้างในเยอรมนีแล้วก็ตาม และ (๒) ต้องมีความรู้ความสามารถด้านภาษาเยอรมันตามระดับที่กำหนด แม้จะเป็นการเข้ามาทำงานกับบริษัทข้ามชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นในการทำงานเป็นหลักก็ตาม ทั้งนี้ ถึงแม้กฎหมายเยอรมันเกี่ยวกับการเข้ามาทำงานของคนต่างชาติได้กำหนดว่า คนหางานจากประเทศนอกกลุ่มอียูต้องมีวุฒิการศึกษาที่น่าเชื่อถือในสาขาวิชาที่ตรงกับตำแหน่งงาน แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้าน IT บางสาขาที่ขาดแคลน ซึ่งรัฐบาลจะให้ความสำคัญกับประสบการณ์การทำงานเป็นหลัก โดยยกเว้นการพิจารณาวุฒิการศึกษา แต่ไม่ว่า  กรณีใดก็ตาม บุคคลดังกล่าวต้องมีความรู้ภาษาเยอรมันตามเกณฑ์ที่กำหนด

–     กรณีตัวอย่างที่ดีของการพยายามหาทางออกเพื่อให้ผ่านเงื่อนไขสำคัญ ๒ ประการในการเข้าไปทำงานในเยอรมนีของบุคคลากรด้าน IT จากประเทศนอกกลุ่มอียู คือ การจัดทำความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างภาคเอกชนของอินโดนีเซียและเยอรมนี โดยการร่วมทุนเปิด Swiss German University (SGU) ในอินโดนีเซีย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๓  นับเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนระหว่างประเทศแห่งแรกของอินโดนีเซีย   เปิดสอนระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาวิชาด้าน IT ในหลักสูตรภาษาอังกฤษและภาษาเยอรมัน ในช่วงภาคเรียนที่ ๖ ซึ่งเป็นการเรียนวิชาบังคับเฉพาะด้านนั้น นักศึกษาที่สอบผ่านเกณฑ์สามารถเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนเพื่อเดินทางไปรับการศึกษาที่มหาวิทยาลัยในประเทศเยอรมนีหรือสวิตเซอร์แลนด์    ที่เข้าร่วมโครงการได้ หลังจากนั้น นักศึกษากลุ่มนี้สามารถเลือกที่จะเข้าฝึกงานกับบริษัทในประเทศเยอรมนีหรือสวิตเซอร์แลนด์ที่จัดทำ MOU ร่วมกับมหาวิทยาลัย ในระหว่างการทำปริญญานิพนธ์หรือวิทยานิพนธ์ได้ ผู้สำเร็จการศึกษาจะได้รับปริญญา ๒ ใบ ทั้งจากจาก SGU และจากมหาวิทยาลัย ในโครงการแลกเปลี่ยน

–     จากข้อมูลของ ILO พบว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือระหว่างประเทศในภาค ICT คือ การมีค่าตอบแทนการทำงานที่สูงขึ้น การมีโอกาศทางศึกษาในระดับที่สูงขึ้นเพื่อความก้าวหน้าในสายอาชีพ การได้สร้างสมประสบการณ์ทำงานให้เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานมากยิ่งขึ้น การได้เรียนรู้วัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของประเทศปลายทาง และการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งทางด้านสวัสดิการ-สังคมและการรักษาพยาบาล ทั้งนี้ อุปสรรคของการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือระหว่างประเทศในภาค ICT คือ เงื่อนไขในการออกใบตรวจลงตราเข้าประเทศ ข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำงานของคนต่างชาติในประเทศปลายทาง และการขาดข้อมูลที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับช่องทางในการไปทำงานยังประเทศปลายทาง

–     ILO ได้เสนอแนวทางสำหรับรัฐบาลในการขจัดอุปสรรคของการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือระหว่างประเทศในภาค ICT ดังนี้

(ก)   ทำให้เกิดความเชื่อมโยงกันระหว่างนโนบายการเคลื่อนย้ายแรงงาน การจัดหางาน และการศึกษาสายสามัญ/อาชีวศึกษา

(ข)   กำหนดข้อตกลงด้านการเคลื่อนย้ายแรงงานที่สอดคล้องกับหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงานและตราสารต่าง ๆ ด้านสิทธิมนุษยชน

(ค)   สร้างเครื่องมือหรือช่องทางด้านการหาตำแหน่งงานให้ตรงกับทักษะฝีมือ เพื่อให้บริษัทและคนหางานใช้ได้อย่างสะดวก

(ง)   จัดทำความร่วมมือระหว่างประเทศต้นทางและประเทศปลายทาง เพื่อดูแลความเป็นอยู่ของบุคลากรด้าน ICT ที่ไปทำงานในประเทศปลายทาง

–     ILO สนับสนุนการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือระหว่างประเทศในภาค ICT เนื่องจากเป็นการแบ่งบันทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่า และเป็นการสร้างโอกาสที่ดีในชีวิตและในการทำงานให้กับบุคลากรทาง ICT อย่างไรก็ตาม ประเทศต้นทางควรคำนึงถึงการสร้างงานและการสร้างโอกาสภายในประเทศให้กับบุคลากรด้าน ICT ของตน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาบุคลากรที่มีคุณภาพหลั่งไหลไปทำงานในต่างประเทศ จนขาดแคลนแรงงานมีฝีมือด้าน ICT ที่จะพัฒนาประเทศ

 

รายชื่อผู้ร่วมอภิปราย

–   Ms. Alexandra Cutean ผู้อำนวยการอาวุโสด้านการวิจัยและนโยบาย สภาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งแคนาดา (Information and Communications Technology Council: ICTC)

–   Mr. Patrick Tay ผู้ช่วยเลขาธิการ Singapore National Trades Union Congress (NTUC)

–   Mr. Toru Harukawa ผู้อำนวยการฝ่ายกำหนดนโยบาย the Federation of Information and Communication Technology Service Workers of Japan (ICTJ) 

–   Mr. Naotaka Saimei ผู้อำนวยการอาวุโส แผนกพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ บริษัท FUJITSU ประเทศญี่ปุ่น

–   Dr. Partha S Banerjee ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและแนะแนว สถาบันวิจัยและแนะแนว DEFT ประเทศอินเดีย

–   Mr. Marian Dünkler เจ้าหน้าที่สรรหาบุคลากร สำนักงานจัดหางานแห่งรัฐบาลกลาง กระทรวงแรงงานและกิจการสังคม ประเทศเยอรมนี

–   Dr. Maulahikmah Galinium คณะบดีภาควิชาเทคโนโลยีการสื่อสารและวิศวกรรม Swiss German University ประเทศอินโดนีเซีย

–   Ms. Natalia Popova นักเศษรฐศาสตรแรงงาน แผนกแรงงานโยกย้ายถิ่นฐาน ILO

ดำเนินการอภิปรายโดย Ms. Nozipho Tshabalala

 

ฝ่ายแรงงาน คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา

TOP