Skip to main content

หน้าหลัก

สรุปข้อสังเกตของ CEACR เกี่ยวกับการปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ประเทศไทยให้สัตยาบันแล้วตามที่ปรากฎในรายงาน Application of International Labour Standards 2020

สรุปข้อสังเกตของ CEACR เกี่ยวกับการปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ประเทศไทยให้สัตยาบันแล้วตามที่ปรากฎในรายงาน Application of International Labour Standards 2020

 

                   คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญการอนุวัติการอนุสัญญาและข้อแนะ (Committee of Experts on the Application of Conventions and Recommendations: CEACR) ได้จัดทำรายงาน Application of International Labour Standards 2020 ขึ้น เพื่อนำเสนอในการประชุมใหญ่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Conference: ILC) สมัยที่ ๑๐๙  

                   CEACR มีข้อสังเกตในภาพรวมต่อการปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ประเทศไทยให้สัตยาบันแล้วว่า  มีความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งต่อมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้นำมาดำเนินงานเพื่อรองรับอนุสัญญาฉบับ ๑๙ ว่าด้วยการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน (ค่าทดแทนกรณีการเกิดอุบัติเหตุ) ค.ศ. ๑๙๒๕ และพึงพอใจต่อมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้นำมาดำเนินงานเพื่อรองรับอนุสัญญาฉบับ ๑๒๒ ว่าด้วยนโยบายการมีงานทำ ค.ศ. ๑๙๖๔

                   CEACR มีข้อสังเกตต่อการปฏิบัติตามอนุสัญญาที่ประเทศไทยให้สัตยาบันแล้วเป็นรายฉบับ จำนวน ๖ ฉบับ สรุปได้ดังนี้

 

อนุสัญญาฉบับที่ ๑๙ ว่าด้วยการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน (ค่าทดแทนกรณีการเกิดอุบัติเหตุ) ค.ศ. ๑๙๒๕

(ให้สัตยาบันเมื่อวันที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๑)

                   CEACR รับทราบถึงมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลนำมาดำเนินการให้คนงานต่างด้าวผิดกฎหมายสามารถรับสิทธิประโยชน์กรณีบาดเจ็บจากการทำงานจากกองทุนเงินทดแทนได้ ทั้งยัง รับทราบถึงการออกพระราชบัญญัติเงินทดแทน ฉบับที่ ๒ เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๑ และการออกประกาศของกระทรวงแรงงานเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๒ ซึ่งมีผลให้กองทุนเงินทดแทนให้ขยายการคุ้มครองให้ครอบคลุมถึงลูกจ้างในภาคเกษตรกรรม ประมง ป่าไม้ และปศุสัตว์ โดยไม่ได้มีความเห็นให้รัฐบาลดำเนินการใด ๆ เพิ่มเติม

 

อนุสัญญาฉบับที่ ๒๙ ว่าด้วยแรงงานบังคับ ค.ศ. ๑๙๓๑

(ให้สัตยาบันเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๒)

มาตรา ๑ (๑) มาตรา ๒ (๑) และมาตรา ๒๕

นายหน้าจัดหางานและค่าบริการจัดหางาน

                   CEACR รับทราบถึง การออกกฎหมายต่าง ๆ ที่ห้ามเรียกเก็บค่าบริการจัดหางานจากคนงานต่างด้าว ยกเว้น ค่าใช้จ่ายบางอย่าง เช่น ค่าจัดเตรียมเอกสาร และค่าเดินทาง โดย CEACR ได้เคยขอให้รัฐบาลยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า แรงงานต่างด้าวในภาคการประมงจะไม่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการถูกใช้แรงงานบังคับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องการจ่ายค่าบริการจัดหางาน และการจัดหางานโดยนายหน้าจัดหางานเถื่อน

                   CEACR ได้รับแจ้งจากสหพันธ์แรงงานขนส่งระหว่างประเทศ (International Transport Workers’ Federation: ITF) ว่า ได้ทำการสัมภาษณ์คนงานประมงจำนวนหนึ่งในจังหวัดระนอง สงขลา และตราด ซึ่งเป็นสมาชิกของเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานประมง (Fishers Rights Network: FRN) ซึ่งทำให้ทราบว่า คนงานประมงต่างด้าวร้อยละ ๘๙ ตกอยู่ในสภาพแรงงานขัดหนี้ มูลค่าหนี้โดยเฉลี่ยทั้งหมดเป็นจำนวน ๒๑,๐๐๐ บาท

                   ถึงแม้รัฐบาลจะได้รายงานให้ CEACR ทราบถึง บทบัญญัติและผลการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจน ผลการดำเนินงานของทีมสหวิชาชีพ และการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ก็ตาม แต่เนื่องจากมีแรงงานประมงจำนวนมากตกเป็นแรงงานขัดหนี้ตามการรายงานของ FRN ดังนั้น CEACR จึง

–  เรียกร้อง (urges) ให้รัฐบาลใช้ความพยายามยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า แรงงานต่างด้าวในภาคการประมงจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นแรงงานบังคับหรือเป็นแรงงานขัดหนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องการจ่ายค่าบริการจัดหางาน และการจัดหางานโดยนายหน้าจัดหางานเถื่อน และ

–   ขอให้ (request) รัฐบาลให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรา ๕๓ ของพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๑ และระบุถึงจำนวนและลักษณะของการกระทำความผิด รวมถึงบทลงโทษที่ผู้กระทำความผิดดังกล่าวได้รับ

การทำสัญญาจ้างงานอีกฉบับที่มีเนื้อหาแตกต่างไปจากสัญญาจ้างงานต้นฉบับ

                   CEACR รับทราบถึง เนื้อหาในมาตรา ๑๔/๑ และ ๑๗ ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และข้อ ๖ ของกฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล พ.ศ. ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการทำสัญญามาตรฐานของแรงงานข้ามชาติ พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๕๖๐ เกี่ยวกับการออกเอกสารสำคัญประจำตัวสำหรับแรงงานต่างด้าวที่ทำงานในการประมง (Seabook) และมาตรา ๒๓ ของพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๑ เกี่ยวกับการทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือและการเก็บรักษาเพื่อแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ ข้อมูลจากการสัมภาษณ์คนงานประมงของ FRN แสดงให้เห็นถึง คนงานประมง   ร้อยละ ๗๘ ไม่ได้รับสำเนาสัญญาจ้าง และบางส่วนได้รับสัญญาจ้างเป็นภาษาไทย

                   ในการนี้ CEACR

–   ขอให้รัฐบาลใช้ความพยายามยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้มั่นใจได้ถึงการบังคับใช้มาตรา ๒๓ ของพระราช-กำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๑ และการห้ามทำสัญญาจ้างงานอีกฉบับที่มีเนื้อหาแตกต่างไปจากสัญญาจ้างงานต้นฉบับ

–   สนับสนุนรัฐบาลให้ดำเนินการเพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจจะทำการขึ้นทะเบียนหรือทำการตรวจพิสูจน์ว่า สัญญาจ้างงานที่คนงานลงนามไปนั้น มีข้อความสอดคล้องกับข้อเสนอการจ้างงานเดิมที่ได้รับการยินยอมจากคนงานแล้ว

–   ขอให้รัฐบาลดำเนินมาตรการที่จำเป็น เพื่อให้คนงานต่างด้าวได้รับสำเนาหนังสือสัญญาจ้างในภาษาของคนงานเอง

การทุจริตและการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ

                   CEACR เคยขอให้รัฐบาลให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการใช้มาตรการเชิงรุก เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า เจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์จะถูกดำเนินคดีและจะมีการใช้บทลงโทษที่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะปรามการกระทำความผิดได้ และรัฐบาลได้รายงานให้ CEACR ทราบถึงข้อมูลสถิติ  การสอบสวนและการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำความผิด

                   CEACR ขอให้รัฐบาล

–   ยังคงดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ และใช้บทลงโทษที่รุนแรงเพียงพอต่อการปรามไม่ให้มีการกระทำความผิดดังกล่าว

–   ให้ข้อมูลเรื่อง มาตรการต่าง ๆ ที่นำมาดำเนินการ รวมถึง จำนวนเจ้าหน้าที่ที่ถูกดำเนินคดีฐานค้ามนุษย์และบทลงโทษที่ได้รับ

การยึดเอกสารประจำตัวของคนงานประมง

                   ข้อมูลจากการสัมภาษณ์คนงานประมงของ FRN พบว่า จากจำนวนคนงานประมงที่ให้สัมภาษณ์มีเพียงร้อยละ ๑๓ เท่านั้นที่มีเอกสารประจำตัวอยู่กับตน คนงานส่วนใหญ่ถูกนายจ้างยึดเอกสารประจำตนไว้ อันทำให้นายจ้างสามารถเรียกเงินจากคนงานประมงได้ ในกรณีที่คนงานต้องการเปลี่ยนนายจ้าง หรือเรียกเงินจากเจ้าของเรือคนใหม่ที่ต้องการจ้างคนงานประมงต่อจากตน ทำให้คนงานตกเป็นแรงงานขัดหนี้ของนายจ้างรายใหม่

                   CEACR รับทราบถึง กฎหมายที่เกี่ยวข้องและบทลงโทษตามกฎหมาย

                   CEACR ขอย้ำว่า การยึดเอกสารประจำตัวของคนงานประมงนับเป็นปัญหาร้ายแรงที่ทำให้คนงานประมงถูกล่วงละเมิด ถูกจำกัดเสรีภาพในการเดินทาง และถูกควบคุมไม่ให้ลาออกจากงาน CEACR จึงเรียกร้องให้รัฐบาล

–   บังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ อย่างจริงจัง

–   ใช้บทลงโทษที่รุนแรงเพียงพอต่อนายจ้างที่ยึดเอกสารประจำตัวของคนงานประมง เพื่อเป็นการปรามไม่ให้มีการกระทำความผิด

การค้างจ่ายค่าจ้าง

                   ข้อมูลจากการสำรวจของ ITF พบว่า คนงานประมงร้อยละ ๘๒ ไม่ได้รับค่าจ้างทุกเดือน คนงานประมงร้อยละ ๙๕ รับรู้เรื่องการจ่ายค่าจ้างผ่านบัญชีธนาคารและการกด ATM แต่มีเพียงร้อยละ ๕ เท่านั้นที่ได้ถือบัตร ATM และกดเงินเอง โดยส่วนใหญ่ระบุว่า ถูกนายจ้างควบคุมการใช้ ATM หรือนายจ้างจ่ายค่าจ้างผ่านบัญชีธนาคารเพื่อให้มีการบันทึกรายการอย่างถูกต้อง แต่ลูกจ้างได้รับค่าจ้างต่ำกว่าความเป็นจริง

                   CEACR เรียกร้องให้รัฐบาล

–   บังคับใช้กฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล พ.ศ. ๒๕๕๗ อย่างเคร่งครัด เพื่อให้มีการจ่ายค่าจ้างเต็มจำนวนตรงตามเวลาที่กฎหมายกำหนด และลงโทษอย่างสมควรต่อนายจ้างที่ไม่จ่ายค่าจ้าง

–   ขอให้รัฐบาลยังคงนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของ PIPO รวมถึง จำนวนการกระทำความผิดเกี่ยวกับการไม่จ่ายค่าจ้างหรือการค้างจ่ายค่าจ่าง และบทลงโทษที่ผู้กระทำความผิดได้รับ

การล่วงละเมิดต่อร่างกาย

                   CEACR รับทราบถึง การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้มีครอบคลุมมากขึ้น แต่การประมงเป็นการทำงานที่อยู่โดดเดี่ยวในกลางทะเล CEACR จึงขอเน้นย้ำอีกครั้งถึงความสำคัญของการดำเนินมาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อที่คนงานประมงจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถูกกระทำรุนแรงต่อร่างกาย

                   CEACR เรียกร้องให้รัฐบาล

–     บังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ฯ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม อย่างมีประสิทธิภาพ

–     ให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายกำกับดูแลคนงานประมงอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และเข้าสืบสวนกรณีมีการกระทำทารุณทางร่างกาย

–     ดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า จะมีการลงโทษที่เหมาะสมต่อนายจ้างที่ฝ่าฝืนกฎหมาย

การตรวจแรงงาน และการใช้บทลงโทษ

                   CEACR รับทราบถึงระบบการตรวจแรงงานในเรือประมง การเพิ่มจำนวนพนักงานตรวจแรงงาน การเสริมสร้างขีดความสามารถพนักงานตรวจแรงงาน และผลการตรวจแรงงานประมงและการตรวจเรือ

                   CEACR รับทราบจาก ITF ว่า ระบบติดตามตำแหน่งเรือ (Vessel Monitoring SystemVMS) ของ PIPO ที่นำมาใช้ทดแทนการตรวจบุคคล (physical inspections) จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้คนงานถูกละเมิดสิทธิ ซึ่ง VMS สามารถปราบปรามการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และขาดการควบคุม แต่ไม่สามารถนำมาใช้ทดแทนการตรวจแรงงานโดยมนุษย์ได้

                   CEACR ขอให้รัฐบาล

–   ยังคงดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของพนักงานตรวจแรงงานอย่างต่อเนื่องในด้านการตรวจหาการใช้แรงงานบังคับและการค้ามนุษย์

–   นำเสนอข้อมูลสถิติเกี่ยวกับจำนวนคดีแรงงานบังคับและการค้ามนุษย์ในคนงานประมงต่างด้าว ตลอดจน จำนวนผู้กระทำความผิดและบทลงโทษที่ได้รับ

–   ดำเนินมาตรการที่จำเป็น เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า คนบนเรือประมงจะได้รับการตรวจโดยพนักงานตรวจแรงงาน และโดยระบบของ PIPO พร้อมกับนำเสนอผลการตรวจดังกล่าว โดยจำแนกตามฐานความผิด

การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม และการช่วยเหลือผู้เสียหาย

                   CEACR รับทราบถึง กลไกการรับเรื่องร้องทุกข์ การเพิ่มจำนวนล่าม การจัดตั้งศูนย์บริการของภาครัฐเพื่อให้ความเชื่อเหลือด้านต่าง ๆ แก่ผู้เสียหาย และการทำงานของส่วนราชการและองค์กรภายนอก เพื่อให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้เสียหาย

                   ในการนี้ CEACR

–   ขอสนับสนุนให้รัฐบาลยังคงดำเนินมาตรการคุ้มครองและช่วยเหลือคนงานประมงต่างด้าวไม่ให้ถูกใช้แรงงานบังคับหรือค้ามนุษย์

–   ขอให้รัฐบาลนำเสนอข้อมูลสถิติด้านจำนวนคนงานประมงต่างด้าวที่ได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจากภาครัฐ หรือองค์กรต่าง ๆ อาทิ ศูนย์ประสานงานแรงงานประมง ศูนย์สวัสดิภาพและธรรมาภิบาลแรงงานประมง และจำนวนคนงานประมงต่างด้าวที่ได้ยื่นคำร้องเรียนผ่านทางระบบรับแจ้งปัญหาแรงงานต่างด้าวทางอินเตอร์เน็ตของกรมการจัดหางาน

 

อนุสัญญาฉบับที่ ๑๐๕ ว่าด้วยการยกเลิกแรงงานบังคับ ค.ศ. ๑๙๕๗

(ให้สัตยาบันเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๒)

มาตรา ๑ (เอ)

บทลงโทษทางอาญาที่เกี่ยวกับการเกณฑ์แรงงาน เพื่อลงโทษต่อการมีหรือแสดงออกซึ่งความคิดเห็นทางการเมือง

                   เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ CEACR ขอให้รัฐบาลให้ความสนใจกับมาตรา ๑๑๒ แห่งประมวลกฎหมายอาญา และบทลงโทษต่อผู้ฝ่าฝืนมาตรานี้ รวมถึงมาตรา ๑๔ และ ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วย     การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ และบทลงโทษต่อผู้ฝ่าฝืนมาตราดังกล่าว โดย CEACR ได้รับทราบถึงข้อสังเกตโดยสรุป พ.ศ. ๒๕๖๐ ของคณะกรรมสารสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งมีความกังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ถูกจับกุมและการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การตั้งข้อจำกัดต่อการใช้สิทธิด้านเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการดำเนินคดีหมิ่นประมาทต่อนักสิทธิมนุษยชน นักกิจกรรม นักข่าว หรือบุคคลต่าง ๆ นอกจากนี้ CEACR ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อนักโทษตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๑ 

                    CEACR รับทราบถึงคำชี้แจงของรัฐบาลเกี่ยวกับความสำคัญของมาตรา ๑๑๒ แห่งประมวลกฎหมายอาญา ความจำเป็นของมาตรา ๑๔ และ ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ และขั้นตอนและเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติราชทัณฑ์พ.ศ. ๒๕๖๑

                   CEACR ขอย้ำว่า การจำกัดสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน รวมถึง เสรีภาพในการแสดงออก เป็นประเด็นที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของอนุสัญญานี้ หากการจำกัดนั้นกำหนดบทลงโทษเกี่ยวกับการเกณฑ์แรงงานในลักษณะจำคุก (compulsory prison labour) ในการนี้ CEACR ขอให้รัฐบาลให้ความสนใจกับข้อเท็จจริงที่ว่า การมีหลักประกันทางกฎหมายด้านการใช้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก การชุมนุมโดยสันติ การรวมตัวเป็นสมาคม และการไม่ถูกจับกุม ล้วนเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการเกณฑ์แรงงานเพื่อลงโทษต่อการมีหรือการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นทางการเมืองหรืออุดมการณ์ของตน หรือเพื่อเป็นวิถีทางหนึ่งของการบังคับทางการเมือง ดังนั้น CEACR จึงเรียกร้องอีกครั้งหนึ่งให้รัฐบาล

–   ดำเนินมาตรการเร่งด่วน เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า จะไม่มีบทลงโทษทั้งในทางกฎหมายและทางปฏิบัติที่เกี่ยวกับการเกณฑ์แรงงาน รวมถึง การจำคุก ต่อการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างสันติ แม้ความคิดดังกล่าวจะขัดกับระบบการเมืองที่มีอยู่แล้วก็ตาม

–   ทำให้มั่นใจได้ว่า มาตรา ๑๑๒ จะได้รับการแก้ไขให้มีขอบเขตที่ชัดเจนเฉพาะการกระทำความรุนแรงหรือการยุยงส่งเสริมให้เกิดความรุนแรง หรือยกเลิกบทลงโทษที่เกี่ยวข้องกับการเกณฑ์แรงงาน โดยใช้บทลงโทษอื่น (เช่น การปรับ) ต่อผู้ซึ่งแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่ขัดกับระบบเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมืองที่มีอยู่ โดยไม่ได้ใช้หรือไม่ข้องเกี่ยวกับความรุนแรงในการแสดงความเห็นนั้น

–   ให้ข้อมูลความคืบหน้าการดำเนินงานใด ๆ ที่มีข้างต้น

–   ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรา ๑๔ และ ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ  รวมถึง คำตัดสินของศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหตุอันนำไปสู่การตัดสินโทษดังกล่าว

 

อนุสัญญาฉบับที่ ๑๒๒ ว่าด้วยนโยบายการมีงานทำ ค.. ๑๙๖๔                      

(ให้สัตยาบันเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๒)

มาตรา ๑ และมาตรา ๒

การนำนโยบายการมีงานทำไปปฏิบัติ: ทิศทางของตลาดแรงงาน

                   CEACR รับทราบถึงมาตรการต่าง ๆ ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) ผลการสำรวจกำลังแรงงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติในไตรมาสสุดท้ายของปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ผลการดำเนินงานของศูนย์ตรีเทพเพื่อการจ้างงานและยกระดับรายได้อย่างครบวงจร ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย และโครงการ M-Powered Thailand และการจัดตั้ง Smart Labour Line Mobile Application

                   CEACR ขอให้รัฐบาล

–   ให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้านการปฏิบัติตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการมีงานทำ

–   ให้ข้อมูลสถิติด้านสถานการณ์ตลาดแรงงาน โดยจำแนกตามเพศและอายุ รวมถึง แนวโน้มการมีงานทำ     การว่างงาน การทำงานต่ำระดับ และข้อมูลเกี่ยวกับขนาดและสัดส่วนของเศรษฐกิจนอกระบบ

มาตรา ๓

การปรึกษาหารือกับหุ้นส่วนทางสังคม

                   CEACR รับทราบตามที่รัฐบาลแจ้งเรื่อง การจัดปรึกษาหารือไตรภาคีเกี่ยวกับการจัดทำและรับรองแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ และการจัดทำร่างกลยุทธ์สำหรับแผนแม่บทแรงงาน พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙

                   CEACR ขอให้รัฐบาลให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดปรึกษาหารือกับหุ้นส่วนทางสังคมด้านการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ และด้านการนำแผนฯ มาปฏิบัติ

แรงงานต่างด้าว

                   CEACR ขอให้รัฐบาลให้ข้อมูลเกี่ยวกับ

–   ผลจากการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ด้านการแก้ไขปัญหาของแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แรงงานต่างด้าวในอุตสาหกรรมการประมง ตามที่รัฐบาลเคยนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการต่าง ๆ ในรายงานฉบับก่อนหน้าที่

–   การกระทำความผิดด้านแรงงานในกิจการที่เป็นห่วงโซ่อุปทาน บทลงโทษต่อผู้กระทำผิด และการจ่ายเงินทดแทน

–   มาตรการที่นำมาใช้หรือคาดว่าจะนำมาใช้เพื่อป้องการการละเมิดและแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากคนงานต่างด้าวในประเทศไทย

 

การป้องกันการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง

                   CEACR ขอให้รัฐบาลให้ข้อมูล (รวมถึง สถิติจำแนกตามเพศและอายุ) ด้านผลจากการดำเนินมาตรการเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานทุกระดับของผู้หญิง และมาตรการเพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติในเงื่อนไขการจ้างงาน

คนงานในภาคเศรษฐกิจนอกระบบ

                   CEACR ขอให้รัฐบาล

–   ให้ข้อมูลด้านผลจากการดำเนินมาตรการเพื่อส่งเสริมให้ภาคเศรษฐกิจนอกระบบเกิดการเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นเศรษฐกิจในระบบ และการขยายสิทธิประโยชน์ทางการประกันสังคมไปสู่คนงานในภาคเศรษฐกิจนอกระบบ

–   ข้อมูลด้านลักษณะและผลกระทบของมาตรการที่นำมาดำเนินการเพื่อช่วยในการเปลี่ยนคนงานในภาคเศรษฐกิจนอกระบบมาเป็นคนงานในภาคเศรษฐกิจในระบบ โดยอ้างอิงหลักการตามข้อแนะฉบับที่ ๒๐๔ ว่าด้วยการปรับเปลี่ยนจากเศรษฐกิจนอกระบบเป็นในระบบ ค.ศ. ๒๐๑๕

 

อนุสัญญาฉบับที่ ๑๓๘ ว่าด้วยอายุขั้นต่ำ ค.ศ. ๑๙๗๓

(ให้สัตยาบันเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๗)

มาตรา ๑

นโยบายแห่งชาติ การตรวจแรงงาน และการปฏิบัติตามอนุสัญญา

                   CEACR รับทราบถึงข้อมูลร้อยละการทำงานของเด็กอายุระหว่าง ๕-๑๗ ปี มาตรการต่าง ๆ ที่นำมาดำเนินการเพื่อขจัดแรงงานเด็ก แผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ นโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันครอบครัว พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ แผนระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่า พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๔ มาตรการเพิ่มขีดความสามารถด้านการตรวจแรงงาน และจำนวนการดำเนินคดีต่อการกระทำความผิดเกี่ยวกับเด็กภายในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ

                   CEACR ยังรับทราบถึงผลการสำรวจการทำงานของเด็กในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งพบว่า เด็กในการสำรวจทั้งหมด ๑๐.๔๗ ล้านคนนั้น มีเด็กจำนวน ๔๐๙,๐๐๐ คนที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยในจำนวนนี้เกี่ยวข้องกับแรงงานเด็ก จำนวน ๑๗๗,๐๐๐ คน และเกี่ยวข้องกับงานอันตราย จำนวน ๑๓๓,๐๐๐ คน เด็กที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ทำงานในภาคเกษตรกรรม รองลงมา คือ ภาคพาณิชย์และบริการ และภาคการผลิต ตามลำดับ ทั้งหมดนี้เป็นเด็กที่ทำงานในครัวเรือนโดยไม่ได้รับค่าจ้างถึงร้อยละ ๖๕.๑ ซึ่ง CEACR มีความเห็นว่า จำนวนแรงงานเด็กยังคงสูงอยู่

                   CEACR จึง

–   เรียกร้องให้รัฐบาลยังคงดำเนินมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการระบุและต่อต้านแรงงานเด็ก รวมถึง ดำเนินมาตรการในกรอบงานของแผนระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่า

–   ขอสนับสนุนให้รัฐบาลยังคงดำเนินมาตรการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการตรวจแรงงาน และขยายขอบเขตการตรวจให้ครอบคลุมภาคเกษตรกรรม ภาคพาณิชย์ ภาคบริการ เรือประมง และกิจการแปรรูปอาหารทะเล รวมถึง นำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่อ ILO

–   ขอให้รัฐบาลให้ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนและลักษณะการกระทำความผิดกรณีแรงงานเด็ก ที่พบจากการตรวจแรงงาน และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่น ๆ รวมถึง บทลงโทษที่ผู้กระทำความผิดได้รับ

 

อนุสัญญาฉบับที่ ๑๘๒   ว่าด้วยรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็ก ค.. ๑๙๙๙*          

(ให้สัตยาบันเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔)

มาตรา ๓ มาตรา ๕ และมาตรา ๗ (๑)

การค้ามนุษย์

                   นอกเหนือจากข้อมูลที่รัฐบาลได้รายงานมาแล้ว CEACR ยังรับทราบถึงรายงานของสำนักงาน ว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime: UNODC) เรื่อง การค้ามนุษย์จากกัมพูชา ลาว และเมียนมา สู่ไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ระบุว่า มีการค้าเด็กจากกัมพูชา ลาว และเมียนมา เพื่อมาใช้แรงงาน ค้าประเวณี และบังคับขอทาน ในประเทศไทย ทั้งยังรับทราบถึงความเห็นเมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ ของคณะกรรมการด้านการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีแห่งสหประชาชาติ ที่มีข้อห่วงกังวลต่อประเทศที่เป็นต้นทาง ทางผ่าน และปลายทางของการค้ามนุษย์เพื่อใช้แรงงานและค้าประเวณี การคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ที่ขาดประสิทธิภาพ และการทุจริตและกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ

                   CEACR จึง

–   เรียกร้องให้รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นในการขจัดการค้าเด็ก โดยทำการสืบสวนและดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึง เจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำความผิด และใช้บทลงโทษที่เพียงพอต่อการปรามการกระทำความผิด

–   ขอให้รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นในเพิ่มขีดความสามารถให้กับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้สามารถระบุและขจัดการขายและการค้าเด็กอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี

–   ขอให้รัฐบาลนำเสนอข้อมูลจำนวนการฝ่าฝืนกฎหมาย การสอบสวน การดำเนินคดี คำตัดสิน และบทลงโทษที่ผู้ฝ่าฝืนกฎหมายได้รับ

เด็กที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณี

                   นอกเหนือจากข้อมูลที่รัฐบาลได้รายงานมาแล้ว CEACR ยังรับทราบถึงรายงาน พ.ศ. ๒๕๖๐ของ UNODC ที่ระบุว่า เด็กต่างด้าวส่วนใหญ่ในธุรกิจทางเพศในประเทศไทยมีอายุระหว่าง ๑๖-๑๘ ปี เด็กชายที่อาศัยอยู่แหล่งท่องเที่ยวยังมีความเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบทางเพศอีกด้วย

                   CEACR จึง

–   ขอสนับสนุนให้รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นดำเนินการให้ผู้ใช้บริการ เสนอ หรือจ้าง เด็กอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี เพื่อการค้าประเวณีต้องถูกสอบสวน ถูกดำเนินคดี และได้รับการลงโทษเพียงพอต่อการกระทำความผิด

–   ขอให้รัฐบาลนำเสนอข้อมูลจำนวนการฝ่าฝืนกฎหมาย การสอบสวน การดำเนินคดี คำตัดสิน และบทลงโทษที่ผู้ฝ่าฝืนกฎหมายได้รับ

มาตรา ๗ (๒)

เด็กซึ่งเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบทางเพศพาณิชย์

                   CEACR รับทราบถึงการดำเนินงานการช่วยเหลือฟื้นฟู การฝึกอาชีพ การจ่ายค่าเยียวยา การใช้ Child Safeguarding Standard ตลอดจน การให้ที่พักพิงแก่ผู้เสียหายฯ

                   CEACR ขอให้รัฐบาล

–   ยังคงมุ่งมั่นให้ความช่วยเหลือทางการเงินและจ่ายเงินทดแทนให้แก่ผู้เสียหายฯ ที่เป็นเด็ก และนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

–   นำเสนอข้อมูลจำนวนเด็กซึ่งเป็นผู้เสียหายฯ ที่ได้รับความช่วยเหลือและฟื้นฟู โดยจำแนกข้อมูลตามเพศและอายุ  

มาตรา ๘

ความร่วมมือระหว่างภูมิภาค และข้อตกลงทวิภาคี

                   CEACR รับทราบถึงการทำความตกลงต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา จีน ลาว และเมียนมา การลงนาม MOU ทวิภาคีระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลลาว เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ กับรัฐบาลเมียนมา เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑ กับรัฐบาลอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และรัฐบาลจีน เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑ แผนปฏิบัติการอาเซียนเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ Bohol Trafficking in Person Work Plan 2017-2020 และ Regional Guidelines and Procedures to address the Needs of Victims of Trafficking in Person ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๖๒   

                   CEACR จึง

–   ขอสนับสนุนให้รัฐบาลดำเนินงานด้านความร่วมมือประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อขจัดการค้าเด็กด้านแรงงานและการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบทางเพศพาณิชย์

–   ขอให้รัฐบาลนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการต่าง ๆ ที่นำมาใช้หรือคาดว่าจะนำมาใช้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นความร่วมมือระหว่างประเทศ รวมถึงมาตรการภายใต้ Coordinated Mekong Ministerial Initiative against Trafficking (COMMIT) และความร่วมมือในภูมิภาคของ ASEAN ตลอดจน มาตรการที่นำมาใช้กับเด็กซึ่งเป็นผู้เสียหายฯ เพื่อการฟื้นฟู การบูรณาการคืนสู่สังคม และการส่งกลับ

 


อังคณา เตชะโกเมนท์

อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน)

ฝ่ายแรงงาน คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา

กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓


857
TOP