Skip to main content

หน้าหลัก

สถานการณ์ของโลกแห่งการทำงานที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

สถานการณ์ของโลกแห่งการทำงานที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ก่อให้เกิดประเด็นท้าทายที่สำคัญต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและเกี่ยวพันกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การมีงานทำ สุขภาพ และความเป็นอยู่ การที่สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่สามารถควบคุมได้ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการสูญเสียตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่ดี แต่ถ้าเราสามารถสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่มีความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและใช้คาร์บอนต่ำได้ ก็จะบรรเทาผลกระทบในทางร้ายและเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เกิดการสร้างงาน การยกระดับทักษะฝีมือ ความเป็นธรรมในสังคม และการขจัดความยากจน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับโลกแห่งการทำงาน และต้องมีการกำหนดนโยบายเฉพาะด้านการสร้างงาน การลงทุนด้านการพัฒนาทักษะฝีมือ การมุ่งพัฒนาวิสาหกิจ การให้ความคุ้มครองทางสังคม การเคารพสิทธิแรงงาน และการเจรจาทางสังคม 

การระบาดใหญ่ทั่วโลกของโควิด-๑๙ นอกจากจะทำให้เราตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างประเด็นสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ยังทำให้เราเห็นถึงความเกี่ยวพันกันของประเด็นด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในภาพรวมอีกด้วย มาตรการที่ประเทศต่าง ๆ นำมาใช้รับมือกับการระบาดใหญ่  ทั่วโลกของโควิด-๑๙ ส่งผลให้มลพิษและก๊าซเรือนกระจกลดลงอย่างเห็นได้ชัดทั่วโลก ถึงแม้จะเป็นการลดที่ไม่คงอยู่ถาวร แต่ก็เป็นโอกาสอันดีที่เราจะเริ่มต้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากกว่าเดิม โดยการวางนโยบายเพื่อการพัฒนาต่าง ๆ ที่ยึดโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสร้างเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อวางรากฐานให้ทั้งการผลิตและการบริโภคในภาพรวมคำนึงถึงความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนวางนโยบายเศรษฐกิจที่ส่งเสริมให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ และสนับสนุนให้สถานประกอบการใช้พลังงานหมุนเวียน มีกระบวนการผลิตแบบคาร์บอนต่ำ และใช้เทคโนโลยีที่ไม่ก่อมลพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนในวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และขนาดย่อม

ถึงแม้การฟื้นฟูสภาพภูมิอากาศจะเป็นประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม แต่กลับต้องอาศัยกิจกรรมด้านแรงงานเข้าร่วมด้วยเพื่อให้ประสบความสำเร็จ โดยเลขาธิการสหประชาชาติได้เสนอแนวทาง ๖ ประการให้แก่ประเทศสมาชิกได้นำไปใช้เพื่อฟื้นฟูให้สภาพภูมิอากาศ ดังนี้

(๑) การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจและการประกอบอาชีพอย่างเป็นธรรมและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เพื่อลดการสร้างคาร์บอนไดออกไซด์

(๒)  การสร้างงานสีเขียว[1] และการเจริญเติบโตในภาพรวม

(๓) การสร้างสังคมที่สามารถปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้ดี

(๔)  การลงทุนในโครงการที่ช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ

(๕)  การคำนึงอยู่เสมอว่าความเสี่ยงและโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศ เป็นส่วนหนึ่งของระบบการเงินโลก

(๖)  การร่วมทำงานกับประชาคมโลกเพื่อเอาชนะโควิด-๑๙ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ความเสี่ยงที่จะสูญเสียงานที่มีคุณค่าอันมีสาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

The Global Risks Report 2020 ซึ่งจัดทำโดย World Economic Forum รายงานว่าภายในสิบปีต่อจากนี้ไป ความเสี่ยงสูงสุดในการดำรงชีวิตของคนเราล้วนมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลเสียต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ ทำให้ผลิตภาพแรงงานลดลง และเกิดการอพยพแรงงานโดยไม่สมัครใจ

ในปัจจุบันนี้ ตำแหน่งงานประมาณ ๑.๒ พันล้านตำแหน่ง หรือร้อยละ ๔๐ ของกำลังแรงงานทั่วโลกประสบกับความเสี่ยงที่เกิดจากความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม คือ คนงานในประเทศรายได้ต่ำ คนงานในประเทศกำลังพัฒนาที่มีภูมิประเทศเป็นเกาะ แรงงานในชนบท ผู้ยากจน ชนพื้นเมืองและชนเผ่า และกลุ่มด้อยโอกาสต่าง ๆ

กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุดข้างต้นมักทำงานที่ต้องเผชิญกับภาวะเครียดจากความร้อน หรือโรคลมแดด การที่อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มความเสี่ยงให้คนงานกลุ่มนี้จนอาจถึงแก่ชีวิตได้ หากเราไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิโลกให้สูงขึ้นไม่เกิน ๑.๕ องศาเซลเซียสได้แล้ว ในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ ภาวะเครียดจากความร้อนจะเป็นเหตุให้สูญเสียชั่วโมงการทำงานทั่วโลกไปร้อยละ ๒.๒ หรือเทียบเท่ากับการสูญเสียการทำงานเต็มเวลาจำนวน ๘๐ ล้านตำแหน่ง และเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ ๒,๔๐๐ พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลุ่มประเทศที่จะได้รับความสูญเสียมากที่สุด คือ ประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยจะสูญเสียชั่วโมงการทำงานร้อยละ ๕.๓ หรือเทียบเท่ากับการสูญเสียการทำงานเต็มเวลาจำนวน ๔๓ ล้านตำแหน่ง และประเทศในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก โดยจะสูญเสียชั่วโมงการทำงานร้อยละ ๔.๘ หรือเทียบเท่ากับการสูญเสียการทำงานเต็มเวลาจำนวน ๙ ล้านตำแหน่ง ส่วนภูมิภาคที่จะสูญเสียชั่วโมงการทำงานน้อยที่สุดเพียงร้อยละ ๐.๑ คือ ยุโรป

นอกจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นแล้ว มลภาวะทางอากาศก็เป็นปัจจัยหายนะประการหนึ่ง โดยมีการประมาณการณ์ไว้ว่า นับแต่นี้ไปจนถึงปี พ.ศ. ๒๖๐๓ จะมีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรเนื่องจากมลภาวะทางอากาศเพิ่มขึ้นห้าเท่า หรือคิดเป็นหนึ่งในสามของผู้เสียชีวิตทั่วโลกจะมีสาเหตุจากมลภาวะทางอากาศ และจะส่งผลให้เกิดการขาดงานเนื่องจากการเจ็บป่วยโดยเฉลี่ยวันละประมาณ ๖ ล้านคน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยของคนงานและการดำเนินธุรกิจของสถาน-ประกอบการ เช่น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น พื้นดินกลายสภาพเป็นทะเลทราย อันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลต สภาพอากาศที่หนาวจัดหรือร้อนจัด เป็นต้น

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก่อให้เกิดภัยธรรมชาติในหลายพื้นที่ของโลก ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาและรายได้ต่ำไม่สามารถรับมือกับภัยธรรมชาติและไม่สามารถจัดการกับผลกระทบที่ตามมาได้  ทำให้ประชาชนต้องโยกย้ายถิ่นฐานและเกิดการอพยพแรงงานโดยไร้การจัดระเบียบ อันเป็นช่องทางของการเกิดแรงงานบังคับและการแสวงประโยชน์โดยไม่ชอบ

 

 

 

การเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมให้เป็นเศรษฐกิจที่ยั่งยืนแบบคาร์บอนต่ำ[2] จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานอยู่ ๔ ประเด็นหลัก ได้แก่ (ก) จะมีอาชีพใหม่เกิดขึ้น (ข) งานบางอาชีพจะถูกแทนที่โดยอาชีพอื่นที่สามารถทำแทนกันได้ (ค) งานบางอาชีพจะหายไป และ (ง) บางอาชีพจะมีการเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน

ILO คาดการณ์ว่า หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันเพื่อมุ่งไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำแล้ว งานในเหมืองถ่านหิน งานสกัดทรัพยากรธรรมชาติ และงานในอุตสาหกรรมที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก จะหายไปประมาณ ๖ ล้านตำแหน่ง ในขณะที่การพัฒนาการขนส่งแบบยั่งยืน การวางระบบพลังงานหมุนเวียน และ   การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน จะทำให้เกิดอาชีพใหม่ประมาณ ๒๔ ล้านตำแหน่ง สิ่งที่จะเกิดตามมา คือ ช่องว่างด้านทักษะฝีมือของแรงงานในประเทศต่าง ๆ ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐต้องมุ่งพัฒนาทักษะฝีมือในอาชีพที่เกิดขึ้นใหม่ให้กับกำลังแรงงานของตน เพื่อสร้างโอกาสในการมีงานทำและทำให้การเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานเป็นไปอย่างราบรื่น ภาครัฐยังต้องกำหนดนโยบายด้านทักษะฝีมือโดยคำนึงถึงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อพัฒนากำลังแรงงานให้สามารถรองรับอุตสาหกรรมกำเนิดใหม่หรืออุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตตามนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้น การมุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)[3] ยังสร้างงานด้านการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ การแปรรูปทรัพยากรเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ การซ่อมแซม และการวางระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้ประมาณ ๗-๘ ล้านตำแหน่ง ภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ ซึ่งที่อาชีพที่เกิดใหม่เหล่านี้ล้วนเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะฝีมือปานกลางขึ้นไป

การกำหนดนโยบายเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนจะสร้างอาชีพขึ้นใหม่สำหรับแรงงานทักษะฝีมือปานกลางขึ้นไปได้หลายตำแหน่งงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสายอาชีพทางเทคโนโลยี ซึ่งประเด็นท้าทายที่จะตามมา คือ ในปัจจุบันนี้ แรงงานทักษะฝีมือปานกลางขึ้นไปในสายอาชีพทางเทคโนโลยีส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย หากรัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะฝีมือสำหรับผู้หญิงแล้ว จะเกิดช่องว่างด้านรายได้และโอกาสในการมีงานทำระหว่างเพศเพิ่มขึ้น และเกิดความไม่เท่าเทียมทางเพศในด้านการมีงานทำมากขึ้น การมุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนในลักษณะนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม

ในบรรดากลุ่มเปราะบางทั้งหลายนั้น ชนพื้นเมืองที่ทำการเกษตรแบบพึ่งพาธรรมชาติ คือ กลุ่มยากจนที่สุดและได้รับผลกระทบในเชิงลบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด โดยไม่ได้รับการเยียวยาจากภาครัฐ ทำให้คนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะย้ายถิ่นฐานหรืออพยพรับจ้างทำงาน การอพยพของชนพื้นเมืองจำนวนมากส่งผลกระทบต่อโครงสร้างตลาดแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการมีกำลังแรงงานไร้ทักษะเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ภาคเศรษฐกิจและภาคผลิตมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบที่มุ่งใช้แรงงานทักษะฝีมือปานกลางขึ้นไป สถานการณ์เช่นนี้ซ้ำเติมให้ชนพื้นเมืองที่อพยพเข้าสู่เมืองเป็นกลุ่มเปราะบางที่    ด้อยโอกาสอย่างที่สุดในตลาดแรงงาน

สิ่งจำเป็นสำหรับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอย่างเป็นธรรม

ในการกำหนดนโยบายต่าง ๆ ภายในประเทศเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบของเศรษฐกิจและสังคมสำหรับรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้น ต้องคำนึงกรอบงานที่ปรากฏใน UN Framework Convention on Climate Change[4] และข้อกำหนดของความตกลงปารีส[5] โดยความตกลงปารีสให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอย่างเป็นธรรมของตลาดแรงงาน การสร้างงานที่มีคุณค่า และงานที่มีคุณภาพ ทั้งนี้ นโยบายเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศควรเพิ่มโอกาสในการทำงานที่มีคุณค่า สร้างการจ้างงานที่มีคุณภาพ และให้ความคุ้มครองทางสังคม แก่ทุกคน

การดำเนินงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ

 องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO) ได้จัดทำ ILO Guidelines for a just transition towards environmentally sustainable economies and societies for all เพื่อเป็นแนวทางให้ประเทศสมาชิกนำไปปรับใช้ โดยมุ่งส่งเสริมการนำคู่มือฉบับนี้ไปปฏิบัติในประเทศที่มีข้อจำกัดในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อันส่งผลให้ต้องเผชิญกับการขาดแคลนงานที่มีคุณค่า ทั้งยังช่วยเหลือประเทศสมาชิกให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้โดยไม่ละเลยประเด็นแรงงาน โดยมีตัวอย่างของประเทศที่ประสบความสำเร็จ คือ

–   ประเทศกานา ซึ่ง ILO ได้ร่วมงานกับคณะทำงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (องค์คณะพหุภาคี) เพื่อปรับปรุงนโยบายแห่งชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้มีมิติด้านแรงงาน และได้ร่วมงานกับกระทรวงแรงงานของกานาในการจัดทำยุทธศาสตร์งานสีเขียว

–   การให้ความร่วมมือกับประเทศซิมบับเวในโครงการ Green EnterPRIZE Programme เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการพัฒนาสถานประกอบการอย่างยั่งยืน โดยวิธีการดังนี้

(ก)  การสร้างตลาดใหม่ให้แก่บริการและผลิตภัณฑ์สีเขียว[6]

(ข)  การส่งเสริมสถานประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางซึ่งดำเนินการโดยผู้ประกอบการรายใหม่ที่มีอายุน้อย ให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

(ค) การเสริมสร้างผลิตภาพและความสามารถทางการแข่งขันให้กับสถานประกอบการสีเขียว

–   หมู่เกาะแปซิฟิกจัดทำโครงการความร่วมมือกับ ILO เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับองค์กรของนายจ้างและของลูกจ้างด้านการรับมือกับการเปลี่ยงแปลงสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอย่างเป็นธรรม และเพื่อส่งเสริมองค์กรของนายจ้างและของลูกจ้างให้มีส่วนร่วมอย่างมีประสิทธิภาพในการกำหนดนโยบายด้านสังคมและแรงงานของประเทศ

–   ประเทศสเปนและ ILO ทำความตกลงเชิงกลยุทธร่วมกัน เพื่อนำ ILO Guidelines for a just transition towards environmentally sustainable economies and societies for all ไปดำเนินการภายใต้กรอบงานด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงงานแห่งชาติ ซึ่งเป็นความคืบหน้าเพิ่มเติมจากโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลสเปนและ ILO ด้านกลยุทธเพื่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอย่างเป็นธรรม

เลขาธิการสหประชาชาติ ผู้อำนวยการใหญ่ ILO เลขาธิการสมาพันธ์สหภาพแรงงานสากล     (International trade Union Confederation: ITUC) เลขาธิการองค์การระหว่างประเทศของนายจ้าง (International Organization of Employers: IOE) รวมกันเปิดตัวแผน Climate Action for Jobs Initiative เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๖๒ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ (ก) ให้แผนปฏิบัติการใด ๆ เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศส่งผลให้เกิดงานที่มีคุณค่าและการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอย่างเป็นธรรม (ข) ส่งเสริมประเทศต่าง ๆ ให้มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคตที่มีความยั่งยืนและเป็นธรรม และ (ค) ส่งเสริมให้เกิดการฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-๑๙ อย่างยั่งยืนและครอบคลุมทุกส่วน

ILO และองค์กรภายใต้สหประชาชาติอีก ๔ องค์กร คือ UN Environment Programme (UNEP), the UN Development Programme (UNDP), UN Industrial Development Organization และ UN Institute for Training and Research ได้ร่วมกันจัดทำโครงการความร่วมมือ Partnership for Action on Green Economy (PAGE) ขึ้นในประเทศสมาชิกจำนวน ๒๐ ประเทศ เพื่อให้ความช่วยเหลือในการวางกรอบงานและนโยบายเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนทางระบบนิเวศ กลยุทธด้านการมีงานทำ การปฏิรูปงบประมาณภาครัฐ และการสร้างกลไกการลงทุน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ และการควบคุมอุณหภูมิโลกให้สูงขึ้นไม่เกิน ๑.๕ องศาเซลเซียส  

นอกจากนั้น ILO ยังมีส่วนร่วมในปฏิบัติงานอื่น ๆ ของสหประชาติ เพื่อให้เกิดการบูรณการประเด็นงานที่มีคุณค่า และสิทธิแรงงาน เข้าไว้ในกระบวนงานต่าง ๆ ด้านสภาพภูมิอากาศโลก เช่น การเสนอแนะให้คณะจัดทำ the Warsaw International Mechanism for Loss and Damage associated with Climate Change Impact ของสหประชาชาติบรรจุมาตรฐานแรงงานเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลไกนี้ เป็นต้น

 


 

อังคณา เตชะโกเมนท์

อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน)

ฝ่ายแรงงาน คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา

 

 

ที่มา: เอกสารสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ เรื่อง The role of the ILO in addressing climate change and a just transition for all 

https://www.ilo.org/wcmsp5/groups/public/—ed_norm/—relconf/documents/meetingdocument/wcms_756858.pdf

[1] งานที่ช่วยลดการใช้พลังงานและวัตถุดิบและช่วยลด เศรษฐกิจที่พึ่งพิงวัตถุ (Dematerialize Economy) ช่วยลดและหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม และช่วยลดของเสียและมลพิษ

[2] การมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือสังคมที่ลดความต้องการการใช้พลังงานสิ้นเปลือง หลีกเลี่ยงการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลหรือน้ำมันหรือมุ่งเน้นการใช้พลังงานหมุนเวียน และมีมาตรการความมั่นคงทางด้านพลังงาน เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจก โดยมุ่งหวังให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นไม่เกิน ๒ องศาเซลเซียส ตามความตกลงปารีส

[3] การหมุนเวียนใช้ทรัพยากรธรรมชาติในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) และเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการของเสีย วัตถุดิบ สินค้าที่หมดอายุ และพลังงาน ให้กลับไปเป็นทรัพยากรที่หมุนเวียนอยู่ในระบบด้วยกระบวนการที่เหมาะสม

[4] กรอบการทำงาน ที่จำเป็นต้องมีวิธีการทางกฎหมายสนับสนุนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยมีเป้าหมายแบบไม่ผูกมัด และเรียกร้องให้ประเทศอุตสาหกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือเท่ากับระดับที่มีใน พ.ศ. ๒๕๓๓ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อรักษาปริมาณก๊าซเรือนกระจกให้คงที่ ให้ระบบนิเวศมีการปรับตัวทัน ให้มีความมั่นคงทางอาหาร และให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

[5] กำหนดแนวปฏิบัติพื้นฐานรูปแบบในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และยุติความแตกต่างระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา และแทนที่ความแตกต่างดังกล่าวด้วยกรอบความร่วมมือที่มอบหมายให้ทุกประเทศเพิ่มความพยายามอย่างสุดความสามารถ และเสริมความแข็งแกร่งให้กับประเทศเหล่านั้น

[6] บริการหรือผลิตภัณฑ์ที่มีขบวนการผลิตหรือการให้บริการที่ลดการใช้พลังงานสิ้นเปลืองและของเสีย สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ สามารถนำมาแปลงสภาพใช่ใหม่ได้ และสามารถนำมาซ่อมแซมเพื่อใช้ต่อได้


3059
TOP