Skip to main content

หน้าหลัก

รายงานสถานการณ์ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศอันเป็นผลจากการประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ ๓๔๗ ระหว่างวันที่ ๑๓ – ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๖ ณ นครเจนีวา

คณะประศาสน์การ (Governing Body: GB) เป็นคณะกรรมการบริหารสูงสุดขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO) มีอำนาจในการกำหนดนโยบาย ทิศทางการทำงาน ตลอดจนกำกับควบคุมและติดตามการทำงานของสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ โดยมีองค์ประกอบเป็นลักษณะไตรภาคีประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้าง มีหน้าที่หลักอันสำคัญ คือ การประชุมปีละ ๓ ครั้ง ในเดือนมีนาคม มิถุนายน และพฤศจิกายน เพื่อพิจารณาเกี่ยวกับกิจกรรมและการดำเนินงานขององค์กร  นโยบายขององค์กร ข้อกฎหมายและมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ และแผนงาน การเงิน ตลอดจน การบริหารงบประมาณ

                   ในการประชุม GB สมัยที่ ๓๔๗ (เดือนมีนาคม ๒๕๖๖) มี

(ก) Ms. Claudia Fuentes เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรชิลีประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา เป็นประธาน GB

(ข)  Ms. Renate Hornung-Draus (ประเทศเยอรมนี) เป็นรองประธาน GB ฝ่ายนายจ้าง

(ค) Ms. Catelene Passchier (ประเทศเนเธอร์แลนด์) เป็นรองประธาน GB ฝ่ายลูกจ้าง

                   สถานการณ์สำคัญอันเป็นผลจากการประชุม GB สมัยที่ ๓๔๗ มีดังนี้

การกำหนดวาระสำหรับการประชุมใหญ่ประจำปีขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Conference: ILC) ในครั้งต่อไป

                   การประชุม ILC สมัยที่ ๑๑๓ (พ.ศ. ๒๕๖๘) จะมีวาระการอภิปรายสองครั้งเพื่อกำหนดมาตรฐานด้านงานที่มีคุณค่าใน platform economy และวาระการอภิปรายทั่วไปเรื่อง วิถีทางเชิงนวัตกรรมเพื่อเอาชนะการอยู่นอกระบบและเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงให้เข้าสู่ภาคในระบบ

                   การพิจารณารวบรวมตราสารต่าง ๆ ด้านอันตรายจากสารเคมีเข้าเป็นฉบับเดียวจะถูกบรรจุไว้เป็นวาระการอภิปรายสองครั้งเพื่อกำหนดมาตรฐานแรงงานในการประชุมประชุม ILC สมัยที่ ๑๑๔ (พ.ศ. ๒๕๖๙) หรือสมัยที่ ๑๑๕ (พ.ศ. ๒๕๗๐) ซึ่งที่ประชุม GB จะพิจารณากำหนดในภายหลัง    โดยในการประชุม ILC สมัยที่ ๑๑๔ จะมีวาระการอภิปรายหมุนเวียนหัวข้อการติดตามผลปฏิญญาว่าด้วยความยุติธรรมทางสังคมเพื่อโลกาภิวัตน์ที่เป็นธรรม (ค.ศ. ๒๐๐๘) ฉบับแก้ไข ค.ศ. ๒๐๒๒ และหัวข้อวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธของการเจรจาทางสังคม 

รูปแบบการประชุม ILC สมัยที่ ๑๑๑ (พ.ศ. ๒๕๖๖)

                   การประชุม ILC สมัยที่ ๑๑๑ กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๕-๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๖ สถานที่จัดการประชุม คือ อาคารสำนักงานใหญ่ ILO และสำนักงานสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา โดยมีวาระการประชุม คือ

วาระประจำ ประกอบด้วย

(I)   รายงานของผู้อำนวยการใหญ่ ILO และประธาน GB

(II)   แผนงานและงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๗-๒๕๖๘

(III)  ข้อมูลและรายงานเกี่ยวกับการอนุวัติการอนุสัญญาและข้อแนะ

วาระจรมี ๖ วาระ ประกอบด้วย

(IV)  การอภิปรายครั้งที่สอง เพื่อกำหนดมาตรฐานแรงงานเรื่อง การฝึกงาน (Apprenticeships)

(V) การอภิปรายหมุนเวียนเรื่อง วัตถุประสงค์เชิงกลยุทธของการคุ้มครองทางสังคม (การคุ้มครองแรงงาน) (the strategic objective of social protection (labour protection))

(VI) การอภิปรายทั่วไปเรื่อง การเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรม รวมถึง การพิจารณาด้านเทคโนโลยีและนโยบายอุตสาหกรรม เพื่อนำไปสู่เศรษฐกิจและสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนสำหรับทุกคน (a just transition, including consideration of industrial policies and technology, towards environmentally sustainable economies and societies for all)

(VII) การยกเลิกอนุสัญญาจำนวน ๑ ฉบับ และการเพิกถอนอนุสัญญาจำนวน ๔ ฉบับ พิธีสารจำนวน ๑ ฉบับ และข้อแนะจำนวน ๑๘ ฉบับ

(VIII) ร่างอนุสัญญาและข้อแนะว่าด้วย การแก้ไขบางส่วนของตราสารแรงงานระหว่างประเทศจำนวน ๑๕ ฉบับ เพื่อให้ตอบรับกับการเพิ่มประเด็นสภาพการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพเข้าไว้ในกรอบงาน ILO ด้านหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน

(IX) มาตรการต่าง ๆ ภายใต้มาตรา ๓๓ ของธรรมนูญ ILO เพื่อให้รัฐบาลเบลารุสปฏิบัติตามคำแนะนำของคณะกรรมาธิการไต่สวน

                   วาระที่ VII VIII และ IX จะพิจารณาโดยคณะกรรมการกิจการทั่วไป (the General Affairs Committee: CAG) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเสนอชื่อโดย GB ฝ่ายรัฐบาลจำนวน ๒๘ คน เสนอชื่อโดย GB ฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างฝ่ายละ ๑๔ คน   

                   วาระที่จะมีการลงคะแนนเสียงในที่ประชุมเต็มคณะ คือ วาระที่ II IV VII และ VIII ทั้งนี้ GB อาจเสนอให้ที่ประชุมเต็มคณะพิจารณาลงคะแนนเสียงรับรองประเด็นการแก้ไขบทบัญญัติมาตรฐานท้ายบทของอนุสัญญา เพื่อให้ภาษาสเปนเป็นภาษาที่มีผลบังคับใช้เพิ่มเติมจากเดิมที่มีเพียงภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส โดยในทุกวาระดังกล่าวจะใช้ระบบลงคะแนนเสียงอิเล็กทรอนิกส์แบบใหม่ ผู้ที่มีสิทธิลงคะแนนเสียง คือ ผู้แทนที่เข้าร่วมการประชุมเต็มคณะด้วยตนเองและได้ทำการลงทะเบียนเข้าร่วม     การประชุมเต็มคณะเพื่อรับรหัสการลงคะแนนเสียง

                   ส่วนการลงคะแนนเสียงในการประชุมคณะกรรมการต่าง ๆ ให้ใช้ระบบยกมือเพื่อนับคะแนนเสียง เว้นแต่ประธานมีความเห็นว่า การลงคะแนนเสียงโดยการนับมือไม่มีความชัดเจนเพียงพอ ประธานสามารถให้ที่ประชุมทำการลงคะแนนเสียงแบบขานชื่อได้ 

                   การกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมเต็มคณะในวาระรายงานของผู้อำนวยการใหญ่ ILO และประธานคณะประศาสน์การจะมีขึ้นระหว่างวันอังคารที่ ๖ – วันอังคารที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๖ โดยผู้แทนมีเวลากล่าวถ้อยแถลงคนละไม่เกิน ๕ นาที

                   ILO กำหนดจัดการประชุมผู้นำระดับสูงเรื่อง Global Coalition for Social Justice ในช่วงการประชุม ILC สมัย ๑๑๑ โดยคาดว่าจะเป็นวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๖ และกำหนดจัดกิจกรรม The World Day against Child Labour ในวันจันทร์ที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๖ 

                   การประชุมครั้งนี้เป็นการเข้าร่วมประชุมด้วยตนเองเต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตามผู้แทนของประเทศสมาชิกสามารถเข้ารวมประชุมทางไกลผ่านจอภาพได้ในกรณีดังนี้

  • การประชุมเต็มคณะซึ่งจะมีการถ่ายทอดทางเว็บไซต์ของ ILO โดยผู้แทนสามารถส่งเทปบันทึกภาพแทนการกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมด้วยตนเองได้
  • การประชุมคณะกรรมการต่าง ๆ โดยผู้แทนที่เข้ารวมประชุมทางไกลผ่านจอภาพจะไม่สามารถโต้ตอบหรือมีปฏิสัมพันธ์กับที่ประชุมได้

ความคืบหน้าของโครงการ Global Coalition for Social Justice

                   ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมอันเนื่องมาจากโควิด-๑๙ ซึ่งมีความรุนแรงแตกต่างกันในแต่ละประเทศแสดงให้เห็นถึงความยากจนและความไม่เท่าเทียมระหว่างประเทศเหล่านั้น นอกจากนี้ ความสามารถในการฟื้นตัวจากวิกฤตความรุนแรงดังกล่าว ตลอดจน ความสามารถในการรับมือกับภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกที่แตกต่างกันก็แสดงให้เห็นถึงระดับการพัฒนาและระดับความเข้มแข็งที่ไม่เท่ากันของแต่ละประเทศ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความยุติธรรมทางสังคมและไม่ให้มีประเทศใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ผู้อำนวยการใหญ่ ILO จึงนำเสนอโครงการ Global Coalition for Social Justice เป็นครั้งแรกต่อที่ประชุม GB สมัยที่ ๓๔๖ (เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๖๕) ซึ่งมีแนวคิดเบื้องต้นว่า การไร้ความยุติธรรมทางสังคมส่งผลกระทบที่เลวร้ายต่อโลกแห่งการทำงาน หากสมาชิกทั้งสามฝ่ายของ ILO องค์กรระหว่างประเทศ ภาคธุรกิจ สถาบันทางวิชาการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมกันลงมือปฏิบัติ กำหนดนโยบายที่สอดคล้องต้องกัน และมีความเป็นปึกแผ่นในระดับสากลด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุมทุกส่วนแล้ว ก็จะสามารถนำมาซึ่งความยุติธรรมทางสังคมได้   

                   ในการประชุม GB สมัยที่ ๓๔๗ ครั้งนี้ ที่ประชุมได้รับรองวัตถุประสงค์ เป้าหมาย แผนการดำเนินงาน และแผนงบประมาณในการดำเนินโครงการ Global Coalition for Social Justice  ที่เสนอโดยผู้อำนวยการใหญ่ ILO และเห็นชอบให้จัดการประชุมผู้นำระดับสูงในช่วงการประชุม ILC สมัยที่ ๑๑๑ เพื่อแนะนำแนวคิดและโครงการ Global Coalition for Social Justice ของ ILO ต่อประชาคมโลก และเปิดโอกาศให้ผู้นำระดับสูงของประเทศสมาชิกและขององค์กรระหว่างประเทศได้แลกเปลี่ยนความเห็นคิดและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องระหว่างกัน

แผนงานด้านการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบกำกับดูแลมาตรฐานแรงงาน

                   ILO มีกลไกการระงับความขัดแย้งเรื่องการตีความอนุสัญญา คือ การดำเนินการตามธรรมนูญ ILO มาตรา ๓๗ (๑) ที่กำหนดว่า หากมีข้อสงสัย (question) หรือมีข้อพิพาท (dispute) ด้านการตีความรัฐธรรมนูญนี้หรืออนุสัญญาใด ๆ ให้เสนอเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) และมาตรา ๓๗ (๒) ซึ่งกำหนดว่า GB อาจเสนอต่อที่ประชุม ILC เพื่อให้ความเห็นชอบในการจัดตั้งคณะตุลาการ (a tribunal) ขึ้นภายใน ILO สำหรับตัดสินเรื่อง การตีความอนุสัญญา เพื่อให้เกิดความรวดเร็วกว่าการเสนอเรื่องต่อ ICJ อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาหรือคำแนะนำใด ๆ ที่มีของ ICJ ให้ถือเป็นที่สุด

                   ทั้งนี้ ILO ยังขาดขั้นตอนการดำเนินงานที่ชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเรื่องให้ ICJ พิจารณาตามมาตรา ๓๗ (๑) และยังไม่มีกลไกใด ๆ ตามมาตรา ๓๗ (๒) ดังนั้น เพื่อเป็นให้กลไกตามมาตรา ๓๗ วรรค ๑ และวรรค ๒ มีผลในทางปฏิบัติได้อย่างแท้จริง สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศจึงให้ที่ประชุม GB พิจารณาให้ความเห็นชอบกับ

  • ร่างกรอบงานเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีพิจารณาคัดกรอง “ข้อสงสัย” หรือ “ข้อพิพาท” เพื่อส่ง ICJ และขั้นตอนปฏิบัติในการส่งเรื่องต่อ ICJ
  • ร่างแผนงานและวิธีปฏิบัติในการจัดตั้ง “คณะตุลาการ”

                   ที่ประชุมเกิดข้อถกเถียงอย่างกว้างขวางในเรื่อง หลักเกณฑ์คัดกรอง “ข้อสงสัย” หรือ    “ข้อพิพาท” ที่ต้องส่งให้ ICJ พิจารณา และกรอบอำนาจหน้าที่ของ “คณะตุลาการ” จึงมีมติให้นำหัวข้อนี้เข้าสู่การประชุม GB ครั้งต่อไปเพื่อพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง

รายงานฉบับสุดท้ายของคณะทำงานไตรภาคีด้านการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ เท่าเทียม และเป็นประชาธิปไตยในการบริหารจัดการ ILO แบบไตรภาคี

                   ที่ประชุม GB สมัยที่ ๓๓๗ (เดือนตุลาคม ๒๕๖๒) เห็นชอบกับการเสนอให้จัดตั้งคณะทำงานไตรภาคีด้านการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ เท่าเทียม และเป็นประชาธิปไตย ในการบริหารจัดการ ILO แบบไตรภาคี (the tripartite working group on the full, equal and democratic participation in the ILO’s tripartite governance: TWGD) โดยมีหน้าที่ปรึกษาหารือกันเพื่อเสนอความเห็นต่อ GB เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ เท่าเทียม และเป็นประชาธิปไตย ของสมาชิก ILO ทั้งสามฝ่าย          ในประเด็นการบริหาร ILO ในรูปแบบไตรภาคี โดยมุ่งเน้นให้เกิดความเท่าเทียมและเป็นธรรมในการมีส่วนร่วมของประเทศสมาชิกในทุกภูมิภาค ต่อมาที่ประชุม GB สมัยที่ ๓๔๐ มีมติแต่งตั้ง TWGD ขึ้นเพื่อประชุมหารือกันเกี่ยวกับการส่งเสริมการให้สัตยาบันต่อตราสาร ค.ศ. ๑๙๘๖ เพื่อแก้ไขธรรมนูญ ILO[1] ขณะนี้ TWGD ครบวาระการปฏิบัติหน้าที่แล้ว จึงได้ส่งรายงานการทำงานฉบับสุดท้ายต่อที่ประชุม GB

                   นับตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งมา TWGD จัดประชุมอย่างเป็นทางการจำนวน ๗ ครั้ง โดยมีผลการปฏิบัติงานที่สำคัญ คือ การกระตุ้นให้ประเทศสมาชิกตระหนักถึงความสำคัญของตราสารและรับรู้ถึงผลลัพธ์ในเชิงบวกจากการมีผลใช้บังคับของตราสาร ค.ศ. ๑๙๘๖[2]  โดยมีประเทศสมาชิกให้สัตยาบันตราสารนี้เพิ่มขึ้น ๔ ประเทศ คือ เปรู แกมเบีย เซาตูเมและปรินซิปี และซามัว

                   ในการนี้ ที่ประชุม GB ได้เรียกร้องให้ประเทศในกลุ่มที่มีความสำคัญทางอุตสาหกรรมซึ่งเป็นสมาชิกถาวรของ GB จำนวน ๘ ประเทศ (ประเทศบราซิล จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี ญี่ปุ่น รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา) ได้พิจารณาให้สัตยาบันตราสาร ค.ศ. ๑๙๘๖

การพิจารณาร่างแผนงานเพื่อทำการทบทวนกลยุทธโลกด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยใน     การทำงาน (OSH) ซึ่งรับรองโดยที่ประชุมใหญ่ ILC สมัยที่ ๙๑ (พ.ศ. ๒๕๔๖) และการส่งเสริมประเด็นสภาพการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ ในฐานะที่หนึ่งในหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงานของ ILO

                   สืบเนื่องจากที่ประชุมใหญ่ ILC สมัยที่ ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๕๖๕) ได้รับรองให้เพิ่มประเด็นสภาพการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพเข้าเป็น ๑ ใน ๕ ของหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงานของ ILO โดย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการทบทวนแผนงานและกลยุทธต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้ทันกับสถานการณ์ปัจจุบัน

                   ที่ประชุมเห็นชอบกับกลยุทธด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานของโลก ค.ศ. ๒๐๒๔-๒๐๓๐ ตามที่สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศเสนอ โดยกลยุทธดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสภาพการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ และการมีส่วนช่วยในทุกหนทางเพื่อลดจำนวนการเสียชีวิต การได้รับบาดเจ็บ และการเจ็บป่วย อันเนื่องมาจากการทำงาน โดยมีแผนปฏิบัติงาน คือ

  • การส่งเสริมการให้สัตยาบันและการนำมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศด้าน OSH มาปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อนุสัญญาฉบับที่ ๑๕๕ ว่าด้วยความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยในการทำงาน ค.ศ. ๑๙๘๑ พิธีสาร ค.ศ. ๒๐๐๒ ส่วนเสริมอนุสัญญาฉบับที่ ๑๕๕ และอนุสัญญาฉบับที่ ๑๘๗   ว่าด้วยกรอบเชิงส่งเสริมการดำเนินงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ค.ศ. ๒๐๐๖
  • การพัฒนาและเผยแพร่ความรู้ด้าน OSH
  • การส่งเสริม การสร้างความตระหนักรู้ และการให้คำแนะนำ ด้าน OSH
  • การสนับสนุนและการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการด้าน OSH ให้แก่สมาชิก ILO ทั้งสามฝ่าย
  • การจัดทำความร่วมมือพหุภาคี เพื่อทำให้สิทธิขึ้นพื้นฐานด้านสภาพการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพเป็นกระแสหลักของโลก และเป็นวาระสำคัญของทุกองค์กรและสถาบัน

 

 

การประชุมระดับภูมิภาคของ ILO: การพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการคงไว้ การยกเลิก หรือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ

                   การประชุมระดับภูมิภาคของ ILO อันได้แก่ แอฟริกา อเมริกา เอเชียและแปซิฟิก และยุโรปและเอเชียกลาง ต่างจัดขึ้นเป็นประจำทุกรอบ ๔ ปี โดยมีประเทศสมาชิกในภูมิภาคหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมร่วมกับ ILO วัตถุประสงค์ของการประชุม คือ เป็นเวทีให้สมาชิกของ ILO ทั้งสามฝ่าย (นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล) ได้แลกเปลี่ยนข้อมูล อภิปราย และหารือกัน เกี่ยวกับประเด็นแรงงานตามแผนงานของ ILO ในภูมิภาคนั้น ซึ่งผู้อำนวยการใหญ่ ILO รับผิดชอบการจัดทำและนำเสนอรายงานแผนงานของ ILO ในภูมิภาคต่อที่ประชุม ซึ่งที่ประชุม GB สมัยที่ ๓๔๖ มีมติให้สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศดำเนินการประเมินความคุ้มค่าและผลประโยชน์ที่ได้รับจากการประชุม พร้อมเสนอแนวทางปรับปรุง

                   สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศทำการประเมินแล้วและได้เสนอทางเลือกสำหรับการจัดประชุมระดับภูมิภาคของ ILO ดังนี้

ทางเลือกที่ ๑    คงรูปแบบเดิมเอาไว้ เนื่องจากไม่มีปัญหาในการดำเนินงานและสมาชิกทั้งสามฝ่ายไม่ต้อง ปรับเปลี่ยนวิธีปฏิบัติ โดยมีข้อเสีย คือ ยังคงต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการจัดประชุมเช่นเดิม

ทางเลือกที่ ๒    ยกเลิกการจัดประชุมระดับภูมิภาคของ ILO ซึ่งจะทำให้ ILO และประเทศสมาชิกสามารถจัดสรรงบประมาณดำเนินงานและบุคคลให้กับกิจกรรมอื่น ๆ ที่ยังขาดแคลนของตนได้ โดยมีข้อเสีย คือ จะสูญเสียความเป็นภูมิภาคภายใต้โครงสร้าง ILO และความร่วมเป็นเจ้าของ ILO ในระดับภูมิภาคไป

ทางเลือกที่ ๓    จัดการประชุมภูมิภาคในลักษณะ

๓.๑ การประชุมเสริมของทั้ง ๔ ภูมิภาคพร้อมกันในช่วงระหว่างการประชุม ILC

๓.๒ การประชุมเสริมของแต่ละภูมิภาคหมุนเวียนกันไปแต่ละปีในช่วงระหว่างการประชุม ILC

๓.๓ การประชุมเสริมของแต่ละภูมิภาคในช่วงระหว่างการประชุมภูมิภาคด้านอื่นที่มีอยู่ก่อนแล้วซึ่งจัดโดยองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ  

๓.๔ การจัดประชุมตามวาระโอกาศขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละภูมิภาค

ทางเลือกที่ ๔    เปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดประชุมจาก ILO regional meetings เป็น ILO regional forums ซึ่งจะมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมในการอภิปราย การนำเสนอ และการมีปฏิสัมพันธ์ในที่ประชุมของผู้เข้าร่วมการประชุมทุกคน ยกเลิกการกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมใหญ่  และให้มีประชุมระดับรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการได้ โดยให้มีการประชุมสำหรับแต่ละภูมิภาคทุกรอบ ๔ ปีเช่นเดิม แต่ขยายระยะเวลาการประชุมเป็น ๒-๓ วัน

                   ในการนี้ที่ประชุม GB รับทราบถึงทางเลือกและข้อเสนอข้างต้นของสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ โดยมีมติให้คงรูปแบบการประชุมตามเดิมไว้ก่อน และให้พิจารณาว่าจะคงไว้ ยกเลิก หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบตามข้อเสนอที่มีอีกครั้งในการประชุม GB สมัยที่ ๓๔๙ (เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๖๖)

การติดตามผลข้อมติเกี่ยวกับเมียนมา ซึ่งรับรองโดยที่ประชุมใหญ่ ILC สมัยที่ ๑๐๒ (พ.ศ. ๒๕๕๖) และสมัยที่ ๑๐๙ (พ.ศ. ๒๕๖๔)

                   รัฐบาลเมียนมาถูกร้องเรียนโดยผู้แทนกลุ่มลูกจ้างว่า ละเมิดอนุสัญญาที่ให้สัตยาบันแล้วฉบับที่ ๒๙ ว่าด้วยแรงงานบังคับ ค.ศ. ๑๙๓๐ เนื่องจากรัฐบาลละเลยให้เกิดการบังคับใช้แรงงานนักโทษและมีการเกณฑ์เด็กเป็นทหาร ต่อมาที่ประชุม GB สมัยที่ ๒๖๘ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ มีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการไต่สวน (Commission of Inquiry: COI) เพื่อติดตามตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำร้อง แต่เนื่องจากเมียนมาไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินมาตรการหรือปฏิบัติตามข้อแนะนำของ COI ดังนั้นที่ประชุมใหญ่ ILC สมัยที่ ๑๐๒ (พ.ศ. ๒๕๕๖) จึงรับรองข้อมติเกี่ยวกับมาตรการที่เหลือในเมียนมา เพื่อติดตามว่า มีประเด็นใดที่รัฐบาลเมียนมาได้ปฏิบัติจนมีความคืบหน้าตามข้อแนะนำของ COI แล้ว และไม่จำเป็นต้องติดตามผลอีกต่อไป

                   ที่ประชุม GB สมัยที่ ๓๔๑ (เดือนมีนาคม ๒๕๖๔) ได้พิจารณาเห็นว่า รัฐบาลเมียนมาไม่มีความคืบหน้าในการระงับเหตุความรุนแรงจากสถานการณ์การเมืองที่กระทบกับสถานการณ์แรงงานภายในประเทศ และไม่มีความคืบหน้าด้านการคืนประชาธิปไตยให้กับประชาชน จึงมีมติที่สำคัญสรุปได้ว่า   ให้รัฐบาลเมียนมายุติการข่มขู่คนทำงาน คืนอำนาจให้แก่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ยกเลิกการตั้งข้อหาและปล่อยตัวนักกิจกรรมแรงงานที่เข้าร่วมการชุมนุมประท้วงโดยสงบ รับประกันถึงเสรีภาพในการทำหน้าที่ของหุ้นส่วนทางสังคมโดยไม่มีการคุกคามหรือทำร้ายร่างกาย และปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับที่ ๘๗ ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว ค.ศ. ๑๙๔๘

                   ประธานการประชุม ILC สมัยที่ ๑๐๙ (เดือนมิถุนายน ๒๕๖๔) ได้รับหนังสือเปิดผนึกถึงจากกลุ่มลูกจ้างเกี่ยวกับการเรียกร้องให้มีความเป็นประชาธิปไตยและสิทธิขั้นพื้นฐานในเมียนมา เนื่องจากรัฐบาลทหารของเมียนมาไม่แสดงการยอมรับและไม่ปฏิบัติตามมติของ GB สมัยที่ ๓๔๑ (เดือนมีนาคม ๒๕๖๔) ที่ประชุมใหญ่ ILC สมัยที่ ๑๐๙ จึงได้รับรองข้อมติเรื่อง การกลับคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตยและการเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานในเมียนมา เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๔ อันมีสาระสำคัญ คือ

๑.   เรียกร้องต่อเมียนมาขอให้

  • กลับคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตยและปกครองประเทศโดยพลเรือน รวมถึงแก้ไขกฎหมายข้าราชการ พลเรือน กฎหมายการระงับข้อพิพาทแรงงาน และกฎหมายการจัดตั้งองค์กรแรงงาน ให้สอดคล้องกับอนุสัญญาฉบับที่ ๘๗ ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและสิทธิในการรวมตัว ค.ศ. ๑๙๔๘ ซึ่ง    เมียนมาให้สัตยาบันแล้ว
  • ยุติการใช้ความรุนแรงกับคนงาน นายจ้าง สมาชิกขององค์กรคนงาน สมาชิกขององค์กรนายจ้าง และประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้เข้าร่วมการประท้วงโดยสงบ ตลอดจน ยุติการกระทำเพื่อต่อต้านชนกลุ่มน้อยด้านการนับถือศาสนาและชาติพันธุ์ เช่น โรฮีนจา และขอให้ปล่อยตัวและยกเลิกการตั้ง ข้อกล่าวหาต่อผู้ที่ถูกจับกุมโดยพลการ ในทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไขใด ๆ
  • ยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน และทำให้มั่นใจได้ถึงการฟื้นฟูหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานใน การทำงาน
  • เคารพอนุสัญญาฉบับที่ ๘๗ ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและสิทธิในการรวมตัว ค.ศ. ๑๙๔๘
  • ยกเลิกมาตรการหรือคำสั่งใด ๆ ที่ขัดกับเสรีภาพในการแสดงออก และเสรีภาพในการรวมตัว โดยสันติของข้าราชการ คนงาน นายจ้าง องค์กรคนงาน และองค์กรนายจ้าง
  • ทำให้มั่นใจได้ว่า ประชาชนที่มีความจำเป็นทุกคนสามารถได้รับความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม

๒.   ขอให้ประเทศสมาชิก ILO สนับสนุนให้เกิดการกลับคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตยในเมียนมา

๓.   ขอให้คณะประศาสน์การติดตามผลการปฏิบัติตามข้อมตินี้ไปพร้อม ๆ กับการติดตามผลการปฏิบัติตามมติคณะประศาสน์การเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๖๔

                   ที่ประชุม GB สมัยที่ ๓๔๕ (เดือนมิถุนายน ๒๕๖๕) มีมติให้เมียนมาเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตย ให้กองกำลังทหารยุติการใช้ความรุนแรงกับพลเรือนและผู้นำแรงงานโดยทันที ให้รัฐบาลยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงานโดยทันที ให้รัฐบาลยุติการระงับบัญชีธนาคารของเจ้าหน้าที่ ILO ในเมียนมาและต่ออายุใบนำตรวจลงตราเข้าประเทศเมียนมาแก่เจ้าหน้าที่ดังกล่าวเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานในเมียนมาต่อไปได้ และให้รัฐบาลเมียนมาให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในทุก ๆ ด้านกับคณะกรรมาธิการไต่สวน (Commission of Inquiry: COI) ซึ่งตั้งขึ้นตามมติที่ประชุม GB สมัยที่ ๓๔๔ (เดือนมีนาคม ๒๕๖๕) เพื่อสอบข้อเท็จจริงและออกข้อแนะนำในทางปฏิบัติให้กับเมียนมา

                   สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศได้รายงานต่อที่ประชุม GB ครั้งนี้ว่า จากข้อมูลตั้งแต่เดือนมิถุนายน ๒๕๖๕ ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ พบว่า รัฐบาลทหารเมียนมาไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ในการคืนอำนาจให้กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และได้ขยายการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินภายในประเทศออกไปจนถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๖ ทั้งยังมีประชาชนจำนวนมากถูกสังหารโดยทหาร และมีนักกิจกรรมด้านสิทธิหลายคนถูกตัดสินลงโทษอย่างไม่ยุติธรรม นอกจากนั้นยังมีการรายงานถึงการละเมิด  สิทธิแรงงานและการกักขังนักสหภาพแรงงานหลายกรณี ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลทหารของเมียนมายังไม่ปฏิบัติให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วย เอกสิทธิ์และความคุ้มกันทบวงชำนัญพิเศษ ค.ศ. ๑๙๔๖ โดยปฏิเสธการต่ออายุใบนำตรวจลงตราให้กับเจ้าหน้าที่ ILO ประจำกรุงย่างกุ้งที่ใบนำตรวจลงตราได้หมดอายุลงในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๕ โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจาก ILO ไม่รับรองตราสารแต่งตั้งคณะผู้แทนของรัฐบาลเมียนมาในการประชุม ILC สมัยที่ ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๕๖๕) และจะต่ออายุใบนำตรวจลงตราให้กับเจ้าหน้าที่ดังกล่าวก็ต่อเมื่อ ILO รวมลงนามในบันทึกความเข้าใจตามแผนระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่า (Decent Work Country Programme) ฉบับใหม่ของเมียนมา และพิจารณาต่ออายุใบนำตรวจลงตราให้กับเจ้าหน้าที่ ILO ประจำกรุงย่างกุ้งที่ใบนำตรวจลงตราได้หมดอายุลงในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ มีระยะเวลาเพียง ๓ เดือน จากที่เคยต่ออายุให้เป็นระยะเวลา ๑ ปี ทั้งยัง จำกัดการเข้าถึงบัญชีธนาคารของสำนักงาน ILO ประจำกรุงย่างกุ้ง

                   ในการประชุมหัวข้อนี้ มีผู้แทนจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปกล่าวประณาม   การกระทำของรัฐบาลเมียนมา ส่วนจีนและรัสเซียขอให้ ILO ละเว้นการยุ่งเกี่ยวกับปัญหาการเมืองการปกครองของเมียนมาและมุ่งช่วยเหลือรัฐบาลเมียนมาแก้ไขปัญหาแรงงาน ทั้งนี้ เมียนมาไม่ได้ใช้สิทธิการถูกพาดพิงเพื่อกล่าวถ้อยแถลงใด ๆ ซึ่งที่ประชุมมีมติให้เมียนมาดำเนินการตามข้อมติซึ่งรับรองโดยที่ประชุมใหญ่ ILC สมัยที่ ๑๐๙ (พ.ศ. ๒๕๖๕)  มติที่ประชุม GB และให้ผู้อำนวยการใหญ่ ILO จัดทำรายงานความคืบหน้าในการปฏิบัติของเมียนมาเสนอต่อ GB อย่างสม่ำเสมอ

 

รายงานของคณะกรรมการว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคม

                   คณะกรรมการว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคม (Committee on Freedom of Association: CFA) ที่มีหน้าที่ติดตามตรวจสอบข้อร้องเรียนการละเมิดเสรีภาพในการสมาคมในประเทศสมาชิก แม้ว่าประเทศนั้นจะยังไม่ได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับที่ ๘๗ หรือ ๙๘ และให้นำเสนอรายงานการติดตามตรวจสอบต่อ GB เพื่อพิจารณารับรองข้อแนะนำของ CFA ที่ปรากฏในรายงาน

                   CFA นำเสนอรายงานฉบับที่ ๔๐๑ เกี่ยวกับการพิจารณาคำร้องเรียนกรณีรัฐบาลละเมิดเสรีภาพในการสมาคม มีสาระสำคัญ สรุปได้ดังนี้

  • มีคำร้องเรียนที่เป็นกรณีร้ายแรงและเร่งด่วน (Serious and urgent cases) ซึ่ง CFA ให้ความสนใจเป็นพิเศษ และรัฐบาลต้องเข้าดำเนินการโดยทันที เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการสังหาร ข่มขู่ ละเมิด และใช้ความรุนแรง กับผู้นำ สมาชิก และผู้สนับสนุน สหภาพแรงงาน จำนวน ๘ คำร้อง ได้แก่ คำร้องเรียนกล่าวหารัฐบาลเวเนซุเอลา (๒ คำร้อง) กัวเตมาลา (๒ คำร้อง) โคลัมเบีย จีน ฟิลิปปินส์ และบังกลาเทศ
  • มีคำร้องเรียนที่เป็นกรณีอุทธรณ์เร่งด่วน (Urgent appeals) ซึ่งเป็นกรณีที่ CFA ต้องการคำชี้แจงและข้อมูลที่จำเป็นต่าง ๆ จากรัฐบาล เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในการประชุม CFA คราวต่อไป ทั้งนี้ การอุทธรณ์เร่งด่วนมีสาเหตุสำคัญจาก ๒ กรณี คือ (ก) CFA ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การละเมิดสิทธิของรัฐบาล หรือ (ข) รัฐบาลยังไม่ส่งความเห็นหรือข้อมูลใด ๆ ทั้งนี้ ให้รัฐบาลส่งคำชี้แจงหรือข้อมูลที่จำเป็นให้กับ CFA สำหรับใช้ประกอบการพิจารณาของที่ประชุม CFA คราวต่อไป จำนวน ๕ คำร้อง คือ คำร้องกล่าวหารัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ไฮติ อัฟกานิสถาน มาดากัสการ์ และคาเมรูน
  • มีคำร้องเรียนกรณีรอความเห็นจากรัฐบาล (Observation requested from governments) ซึ่งเป็นกรณีที่ CFA อยู่ระหว่างการรอความเห็นหรือข้อมูลเกี่ยวกับคำร้องเรียนจากรัฐบาลตามที่ร้องขอ เพื่อประกอบการพิจารณาต่อไปของ CFA จำนวน ๔ คำร้อง ได้แก่ คำร้องเรียนกล่าวหารัฐบาลกัมพูชา อิหร่าน โบลิเวีย และแอฟริกาใต้ ซึ่งหาก CFA ยังไม่ได้รับความเห็นหรือข้อมูลตามที่ร้องขอจากรัฐบาลดังกล่าวก่อนการประชุมในครั้งถัดไป CFA จะปรับให้อยู่ในกลุ่มคำร้องเรียนกรณีอุทธรณ์เร่งด่วน
  • มีคำร้องเรียนที่รัฐบาลให้ความเห็นหรือข้อมูลมาเพียงบางส่วน (Partial information received from governments) ซึ่งเป็นกรณีที่ CFA ขอให้รัฐบาลให้ความเห็นหรือข้อมูลเพิ่มเติมบางประการจากที่เคยให้มาแล้ว จำนวน ๒๐ คำร้อง ได้แก่ คำร้องเรียนกล่าวหารัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ (๒ คำร้อง) อาเจนตินา (๔ คำร้อง) เอลซัลวาดอร์ เวเนซุเอลา ปารากวัย (๒ คำร้อง) โคลัมเบีย (๒ คำร้อง) โดมินิกัน ฮอนดูรัส (๒ คำร้อง) ปากีสถาน กินี โตโก และเอกวาดอร์
  • มีคำร้องเรียนใหม่ (New cases) จำนวน ๕ คำร้อง ได้แก่ คำร้องเรียนกล่าวหารัฐบาลเกาหลี (๒ คำร้อง) เปรู เวเนซุเอลา และปากีสถาน
  • มีคำร้องเรียนที่ CFA พิจารณาตรวจสอบและจัดทำรายงานสรุปพร้อมข้อแนะนำเพื่อให้นำไปปฏิบัติ ซึ่งเสนอให้ที่ประชุม GB รับรอง จำนวน ๒๒ คำร้อง ได้แก่ คำร้องเรียนกล่าวหารัฐบาลเอลจีเรีย แองโกลา อาเจนตินา (๒ คำร้อง) บังกลาเทศ (๒ คำร้อง) กัมพูชา จีน (๒ คำร้อง) โคลัมเบีย (๓ คำร้อง) เอกวาดอร์ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส ฮังการี มาเลเซีย ปานามา เปรู ฟิลิปปินส์ และเวเนซุเอลา (๒ คำร้อง)
  • มีคำร้องเรียนที่อยู่ระหว่างติดตามผล (Follow-up cases) ซึ่งเป็นกรณีที่ CFA ได้พิจารณาว่า รัฐบาลได้ปฏิบัติตามข้อแนะนำไปบางส่วนแล้ว ซึ่งหากรัฐบาลรายงานให้เห็นถึงการปฏิบัติตามข้อคำแนะนำได้ครบก็สามารถนำไปสู่การยุติคำร้องเรียน (Closed cases) ได้ มีจำนวน ๑๕๕ คำร้อง ซึ่งในจำนวนนี้มีคำร้องเรียนกล่าวหารัฐบาลไทยจำนวน ๓ คำร้อง ได้แก่ (ก) คำร้องเรียนหมายเลข ๓๑๘๐ กรณี บริษัท การบินไทย จำกัด มหาชน (ข) คำร้องเรียนหมายเลข ๓๐๒๒ กรณีการละเมิดสิทธิผู้นำแรงงานของสหภาพแรงงานการรถไฟแห่งประเทศไทย และ (ค) หมายเลข ๓๑๖๔ กรณีข้อกล่าวหาของ IndustriALL Global Union ว่ากฎหมายการแรงงานสัมพันธ์ทั้ง ๒ ฉบับของไทยมีบทบัญญัติที่ขัดกับหลักการด้านเสรีภาพในการสมาคมแล้ว
  • CFA พิจารณายุติการตรวจสอบตามคำร้องเรียน (Closed cases) จำนวน ๗ คำร้อง ได้แก่คำร้องเรียนกล่าวหารัฐบาลโคลัมเบีย คอสตาริกา (๒ คำร้อง) กัวเตมาลา เปรู (๒ คำร้อง) และโดมินิกัน

 

——————————————-

อังคณา เตชะโกเมนท์

อัครราชทูตที่ปรึกษา ฝ่ายแรงงาน

คณะผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา

[1] วัตถุประสงค์หลัก ๔ ประการของตราสารฉบับนี้ คือ

(ก) ยกเลิกสมาชิกถาวรกลุ่มประเทศที่มีความสำคัญทางอุตสาหกรรม ๑๐ ประเทศ และให้สมาชิกคณะประศาสน์มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด และเพิ่มจำนวนสมาชิกประจำของ GB จากเดิม ๕๖ ที่นั่ง เป็น ๑๑๒ ที่นั่ง แบ่งเป็นสมาชิกฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างฝ่ายละ ๒๘ ที่นั่ง และฝ่ายรัฐบาลจำนวน ๕๖ ที่นั่ง

(ข) ให้คณะประศาสน์การเสนอชื่อผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ ILO ต่อที่ประชุมใหญ่ประจำปีขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ เพื่อพิจารณารับรอง              

(ค) เปลี่ยนแปลงระบบการออกเสียงในที่ประชุมใหญ่ ILC เพื่อให้ประเทศสมาชิกซึ่งไม่มีผู้แทนอยู่ร่วมในการประชุมใหญ่มีสิทธิออกเสียงได้ และ

(ง) ร่างตราสารเพื่อแก้ไขธรรมนูญ ILO ในส่วนที่เป็นบทบัญญัติอันเป็นหลักการต้องได้รับการรับรองจากประเทศสมาชิก ILO ทั้งหมดอย่างน้อยสามในห้า จึงมีสถานะเป็นตราสารสำหรับให้ประเทศสมาชิกพิจารณาให้สัตยาบันต่อไป

[2] ตราสาร ค.ศ. ๑๙๘๖ จะมีผลบังคับใช้เมื่อมีการให้สัตยาบันจากประเทศสมาชิก ILO ทั้งหมดอย่างน้อยสองในสาม คิดเป็นจำนวน ๑๒๕ ประเทศ (ประเทศไทยให้สัตยาบันแล้วเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๓) โดยจำนวนนี้ต้องเป็นสมาชิกจากกลุ่มประเทศที่มีความสำคัญทางอุตสาหกรรมอย่างน้อย ๕ ประเทศ (ขณะนี้มีประเทศอินเดียและอิตาลี ที่ให้สัตยาบันแล้ว)


963
TOP